กระบวนการเรียนรู้และเสริมพลัง
๐) เริ่มด้วยการรวบรวมสมาธิ เตรียมความพร้อมภายใน ด้วยการนำสแกนกายส่วนต่างๆ
๑) กระบวนทางการเริ่มเมื่อคุณปริ๋ม (พิธีกรวงใหญ่) จับไมค์แนะนำผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มาเป็นวิทยากรวันนี้ ได้แก่ ศ.นพ.วิจารณ์ รศ.ประภาภัทร รศ.ดร.สุธีระ รศ.ไพโรจน์ ครูใหญ่วิเชียร ดร.เจือจันทร์ ดร.เลขา คุณณัฐรส ครูปราชญ์และครูใหม่จากเพลินพัฒนา คุณประสาน และคุณเปา แล้วแนะนำเครือข่ายภาคี ก่อนเชิญพิธีกล่าวเปิดงานโดย ศาสตราจารย์หมอวิจารณ์
ท่านบอกว่า การปลดลดหนี้ครูจะไม่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษา แนวทางที่เราทำกันมานี้เป็นความหวังและอนาคตของการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถูก คือการเสริมพลังให้กับครูเพื่อศิษย์
๒) เรียนรู้จากครูต้นเรื่อง ขั้นตอนนี้คือการเปิดวีดีทัศน์ครูต้นเรื่อง ครูสัญญา สอนบุญทอง (คลิกดูด้านล่าง)
ครูสัญญาได้รับการเลี้ยงดูอย่างเข้มงวด มีระเบียบวินัยและความรับผิดชอบสูง และชอบช่วยเหลือคน ต่อมาโตขึ้นเป็นรับราชการเป็นทหาร เมื่อมีโอกาสได้ไปเห็นบริบทปัญหา (รศ.สุธีระ ท่านเรียก "บริบทพิเศษ") จึงเกิดการจุดระเบิดของ "ครูเพื่อศิษย์" ครูสัญญา สอนบุญทอง ครูเจ้าฟ้าฯ ปี ๕ ท่านนี้
สิ่งที่ครูสัญญาบอกว่า สิ่งที่ท่านทำคือ ทำให้นักเรียนมี "ความกล้า" วิธีการคือ ทำให้อ่านออก เขียนได้ และทำได้ด้วยตนเอง เด็กที่ทำได้ก็จะเกิดความกล้า ความกล้าจะเป็นที่มาของการเรียนรู้ด้วยตนเอง...
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้และจะนำมาใช้หลังจากดูวีดีทัศน์ คือ รูปแบบการนำเสนอวีดีทัศน์ ที่ให้ครูเป็นผู้เล่าเรื่อง และเดินเรื่อง ด้วยการเริ่มจาก บริบทของพื้นฐาน -> ปัญหานักเรียน -> กระบวนการหรือวิธีการ ->จบด้วยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น โดยแทรกกรณีตัวอย่างของแต่ละเรื่องตามสมควร
๓) คำถามเพื่อการเรียนรู้และเสริมพลัง
รศ.ดร.ประภาภัทร นิยม และอาจารย์ณัฐรส วังวิญญู ออกมาเป็น "คุณอำนวย" ท่านทั้งสอง พูดใส่ไมค์แบบไม่มีสคลิป ผ่อนคลาย ชวนให้ทุกคนทดลองตั้งคำถาม จากนั้นผู้ทรงทุกคนก็ทยอยบอกคำถามของตนออกไมค์
ที่น่าสนใจที่สุดคือ กระบวนการที่ให้ "ระดมตั้งคำถาม" โดยที่ยังไม่ให้ครูต้นเรื่องตอบ วิธีการนี้น่าจะนำไปใช้ในการฝึกตน ฝึกครู หรือฝึกนักเรียน ในการตั้งคำถามได้ดี โดยเฉพาะถ้ามีคำถามจากผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมแบบนี้ ต่อไปนี้เป็นคำถามที่ประทับใจ เลยทำให้จำได้
- ทำไมถึงทำแบบนั้นได้ ..... เมื่อผมฟังคำถามนี้ ใจผมบอกว่าต้องเติมคำเข้าไปว่า ทำไมถึงมีความสุขกับการทำแบบนั้น
- บริบทปัจจัยอะไร ที่ทำให้ตัดสินใจทำแบบนั้น .....
- คุณค่าของการทำสิ่งนี้คืออะไร คุณค่าของ... อยู่ที่ไหน
- อะไรที่ท่านได้เรียนรู้มากที่สุดตลอดระยะเวลาที่ทำมา
- หากย้อนเวลากลับไปได้... อะไรที่จะไม่ทำอีก
- หากย้อนเวลากลับไปได้... สิ่งได้ที่จะไม่ทำอีก แต่จะไม่มีวันลืม
- หากย้อนเวลากลับไปได้... อะไรที่จะทำอีก หรือจะทำอย่างไรให้ดีขึ้นอีก
- มีใครบ้างที่มีส่วนสำคัญในความสำเร็จ อะไรคือปัจจัยของความสำเร็จ
- เริ่มต้นทำสิ่งนั้นตอนไหน อะไรคือจุดเริ่มต้น
- เคยท้อแท้หรือไม่ และทำอย่างไรเมื่อท้อแท้
- ฯลฯ
จะสังเกตว่า การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ คำถามส่วนใหญ่เป็นประเภท "คุณค่า" และ "ผลลัพธ์" โดยเฉพาะคำถาม "ทำไม" ที่มุ่งตรงสู่การใครครวญด้วยใจ โดยมุ่งผลไปที่การ "เสริมพลังใจ" ของครูต้นเรื่อง ... ผมตีความว่า นี่คือจุดมุ่งหมายหลักของการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ และเป็นประเด็นเดียวกับที่คุณเปา บอกว่า อยากให้มีการถอดบทเรียนที่ "ลุ่มลึก" มากขึ้น
๔) เรียนรู้จากคำตอบของครูต้นเรื่อง
หลังจากสรุปการเรียนรู้จากการ "ตั้งคำถาม" อาจารย์ประภาภัทร ได้เปิดโอกาสให้ครูต้นเรื่องเลือกตอบคำถาม โดยไม่จำเป็นต้องตอบทุกข้อคำถาม แต่ให้ตอบตามอัธยาศัยเท่าที่จำได้ ... ครูสัญญาบอกว่า ท่านสามารถตอบได้ทุกคำถาม แต่ขอใช้วิธีเล่าเรื่อง "เรื่องเล่า" เพื่อแลกเปลี่ยนจะดีกว่า ....
ศ.นพ.วิจารณ์ ลุกขึ้นชมเชยและเน้นให้เห็นว่า การตอบคำถาม แบบเล่าเรื่องจริง หรือเน้นฐานการปฏิบัติของครูสัญญาเป็นวิธีที่จะทำให้ปัญญากับคนฟังได้มาก โดยหลังจากฟังแล้ว ก็ให้แต่ละคนในวงได้ "ตีความ" ในความหมายที่ตนเข้าใจ สะท้อนแลกเปลี่ยนกันไปมา
๕) ปฏิบัติการ "ถอดบทเรียน"
หลังเบรคเช้า เป็นการแบ่งกลุ่มย่อยให้แต่ละกลุ่มได้ฝึกปฏิบัติการ "ถอดบทเรียนเพื่อการเรียนรู้และเสริมพลัง" โดยมุ่งฝึกฝนคนที่จะไทำหน้าที่ "ฟาครู" ที่แต่ภาคีส่งมา และมีผูทรงคุณวุฒิคอยสะท้อนและป้อนกลับเพื่อยกระดับความเข้าใจ และมีคุณลิขิตมาช่วยจับประเด็นอีก ๒ ท่าน
เทนนิคที่วางไว้คือ จัดให้แต่ละกลุ่มย่อยมีครูต้นเรื่อง ๒ คน และกำหนดเวลาให้ ๒ ช่วง คือหลังเบรคเช้าและช่วงหลังทานข้าวเที่ยง เพื่อเปิดโอกาสให้แต่ละกลุ่มย่อยได้สะท้อน BAR หรือ AAR และสังเกตการพัฒนาของแต่ละกลุ่ม
๖) ให้สะท้อนการเรียนรู้
กิจกรรมสุดท้ายเป็นการให้แต่ละกลุ่มย่อย ออกไปเสนอบทสะท้อนแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างกลุ่มย่อย คือ ๑) คุณค่าของงานครูต้นเรื่อง และ ๒) มีข้อเรียนรู้อย่างไรในการตั้งคำถามเพื่อการเรียนรู้แลเสริมพลัง โดยกำหนดให้ตัวแทน ออกมานำเสนอ แล้วให้ผู้ทรงคุณวุฒิสะท้อนเพิ่มเติม
ผมตีความว่า ที่กำหนด ๒ ประเด็นนี้ เพราะมูลนิธิฯ อยากประเมินว่า กิจกรรมที่ทำตลอดวันในวันนี้ ทำให้ภาคีเข้าใจการถอดบทเรียนเพื่อหา "คุณค่า" หรือ Value ของครูต้นเรื่องได้หรือไม่ และสามารถจับหลักในการใช้คำถามได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร
เรากำลังทำอะไร มั่นใจไหมว่าจะสำเร็จ
จากการเรียนรู้วันนี้ ผมตีความว่า.....
๑) ยุทธศาสตร์ของมูลนิธิฯ คือ การพูนพลังคนที่จะไปพูนพลังครู โดยการมุ่งสร้างคนในเครือข่ายภาคีให้มีศรัทธา+ไมตรี+วิธี และ+เครื่องมือ ในการไปพูนพลังครูในพื้นที่ โดยมูลนิธิฯ จะทำบทบาท หนุน แบก แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเผยแพร่ยกย่องเชิดชูครูผู้มีพลังพูนเต็มหัวใจ
๒) วิธีการของมูลนิธิฯ คือ ใช้การจัดการความรู้แบบอินไซด์ (KM Inside) มาสาธิตแบบมีส่วนร่วมให้กลุ่มคนภาคีดู ว่า วิธีการ "พูนพลังครู" นั้นทำอย่างไร โดยเครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่ต้องใช้คือ "การถอดบทเรียนเพื่อการเรียนรู้และเสริมพลัง"
ต้องใส่ใจ ๒ คำนี้ แยกกัน คำแรกคือ "เพื่อเรียนรู้" ซึ่งครูหรือคนส่วนใหญ่ จะเรียนสิ่งใหม่ๆ ด้วยการ "ฟัง+คิด" เท่านั้น ไม่เข้าถึงการ "+รู้ขณะจิตใจ" ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการ "เสริมพลัง" (อย่างยังยืน)
อีกมุมหนึ่งที่ต้องใส่ใจ ของคำว่า "เสริมพลัง" คือ วิธีนั้นเป็นการเสริมพลังแบบชั่วคราว ใจพองโตไม่นาน ไม่มีเงินงานก็ไม่มี หรือ จะเป็นวิธีที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงภายในได้อย่างอย่างยืนแบบ "ตื่นรู้"
๓) สมมติฐานของมูลนิธิฯ คือ หากค้นพบครูต้นเรื่องที่เหมือนเทียนที่ยังไม่มอดหมดไป แล้วใช้การถอดบทเรียนและเสริมพลังใจครูเพื่อศิษย์ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบสะท้อนตีความป้อนกลับ จะทำให้ครูมั่นใจขึ้น ภูมิใจขึ้น เป็นเหมือนเชื้อฟืนเอามาต่อไฟ และถ้าต่างภาคีต่างทำ ต่างคนต่างทำ ก็จะกลายเป็นกองไฟใหญ่ที่ให้แสงและพลังงานต่อไป
๔) มูลนิธิฯ อยากให้แต่ภาคีพูนพลังครู มี "คุณอำนวย" ที่ขับเคลื่อนการเรียนรู้ หรือทำ "ฟาครูได้ถึงขั้น "เสริมพลัง" มี "คุณเอื้อ" ที่ต่อเนื่องและมีบารมี (เช่นหัวหน้าภาคีเครือข่าย) มี "คุณกิจ" เป็นครูเพื่อศิษย์ต้นเรื่อง และมี "ผูู้หนุนนำ" ทำให้ครูต้นเรื่องประสบความสำเร็จ ... อาจคิดว่าเป็นผู้บริหารโรงเรียนซึ่งพบเจอในหลายกรณี แต่ผมคิดว่ามีหลายกรณีเหมือนกันที่ ครูเพื่อศิษย์นั้นคิดทำและต่อสู้ด้วยจิตวิญญาณภายในของครูเองลำพัง
๕) คำถามคือ สิ่งที่มูลนิธิฯ กำลังทำในโครงการ "พูนพลังครู" คือเสริมพลังใคร? คำตอบคือเสริมพลังครูต้นเรื่องใช่ไหม? เมื่อพบครูต้นเรื่องแล้ว หน้าที่การขยายผลของความสำเร็จออกไปเป็นบทบาทของใคร ด้วยวิธีใด? .... หากจะหวังให้ขยายผลออกไปด้วยการผลิตสื่อให้อ่าน ผมคิดว่าในกาลนี้ ยังไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด
ขอสะท้อนตอนท้ายเชิงวิพากษ์ว่า การศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม เป็นส่วนผลึกของอารยธรรมฐานของแต่พื้นที่ ดังนั้น การปฏิรูปการศึกษาที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานของวัฒนธรรมของคนไทยในแต่ละพื้นที่ ย่อมมีประสิทธิผลที่จำกัด เช่น
๑) สังคมไทยไม่อ่าน คนอ่านมีน้อย แต่คนไทยชอบคุยชอบเล่าเรื่อง ดังนั้น การทำ PLC บนพื้นฐานการคุย จะได้ผลดีกว่าการตีพิมพ์ให้อ่าน
๒) คนไทยยึดถือตัวบุคคล น้อบน้อม เมตตา อุปถ้มภ์ ดังนั้น วิธีการขยายผลที่ดี คือค้นหาคนดี ครูดี แล้วสนับสนุนให้ครูดีนั้นขยายผลอย่างเต็มที่ด้วยวิธีของตนและคนในพื้นที่
๓) วิธีทำงานแบบ KPI แบบโครงการและรายงานประจำปี มีดีเพียงแค่การบอกผู้บริหารว่าได้ทำ และนำไปประกอบพิจารณาผลตอบแทน
จบเท่านี้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น