วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2562

โอกาสของนักเรียนส่วนใหญ่เมื่อไหร่จะมาถึง

วันนี้ผมมีความเห็นว่า การศึกษาไทยที่จัดไว้ให้กับลูกหลานของเราในโรงเรียน เสียเปรียบประเทศมหาอำนาจมาก ๆ  โดยเฉพาะจีนและอเมริกา .... ดังนั้น เมื่อมีโอกาสเจอใครที่ไหนที่พอจะสนทนาเรื่องนี้ได้ ผมจะไม่ลังเลเลยที่จะเล่าความเห็นนี้แลกเปลี่ยนกับท่าน ....  วันก่อน (๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๒) มีโอกาสได้คุยกับท่าน ผอ. โรงเรียนบ้านดอนสันติ อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม ในงานปิดหค่ายครูวิทย์สานสัมพันธ์สู่ชุมชนครั้งที่ ๑๓ ผมก็แลกเปลี่ยนกับท่านเรื่องนี้เช่นกัน ... ท่านเล่าตัวอย่างชีวิตของคนที่ผมตีความว่าสอดคล้องกับทฤษฎีที่ผมเล่าให้ท่านฟังที่สุด ... นำมาเล่าแลกเปลี่ยนกับท่านผู้อ่านครับ



ผมบอกท่านว่า...  

ปัญหาของการศึกษาไทย ที่ทำให้ลูกหลานของคนไทยส่วนใหญ่ เสียเปรียบนักเรียนในประเทศมหาอำนาจมากที่สุดคือ  นักเรียนของเราไม่ได้เรียนเรื่อง "การลงทุน" หรือ "การทำธุรกิจ" ในโรงเรียน และเมื่อครอบครัว ชุมชน และชาวบ้าน ไม่มีใครทำเรื่องนี้เลย นักเรียนจึงไม่มีโอกาสเรียนเรื่องเหล่านี้ที่บ้านเลย .... ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วเรียนรู้เรื่องนี้กันในครอบครัว ส่งต่อกันเป็นรุ่นต่อรุ่น มีการฝึกเรื่องการบริหารจัดการเงินกันตั้งแต่เด็ก ๆ  

เกือบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ของคนที่ผมเสนอแนวคิดเรื่อง ให้เร่งรีบ หาทางสร้างทักษะและประสบการณ์เรื่องการเงินและ "การลงทุน" และ "การทำธุรกิจ" ในโรงเรียน  จะรู้สึกว่า เรื่องนี้ไกลตัวเกินไป เป็นเรื่องใหญ่เกินไป สำหรับสอนในโรงเรียน บางท่านเห็นด้วยแต่ไม่มีรังสีแห่งความมั่นใจว่าจะทำได้เลย 

เนื่องจาก ลูกหลานเราส่วนใหญ่จำเป็นต้องอยู่ในระบบทุนนิยม หลีกเลี่ยงได้ยาก กระแสรุนแรงเกินกว่า การขับเคลื่อน ระบบเศรษฐกิจพอเพียงจะสามารถดดึงคนส่วนใหญ่ได้ เราต้องกล้าที่จะพาเด็กเรียนรู้ในสิ่งที่แม้แต่ครูก็ไม่รู้ คุณครูต้องเห็นความสำคัญเรื่องนี้ เพราะถ้าเราปล่อยไว้หแบบนี้

สถานการณ์จริง ๆ ขณะนี้  โรงเรียน ชุมชน และครอบครัว กำลังสอนและปลูกฝังให้ "อยากรวย" อย่างเป็นระบบ แต่ไม่สอนหรือสร้างเครื่องมือให้ "รวย" ในระบบทุนนิยมเลย เครื่องมือที่จำเป็น สำหรับความรวยคือความรู้และทักษะ "การลงทุน"  รองลงมาคือ "การทำธุรกิจ" หรือ "เป็นผู้ประกอบการ" หรืออย่างน้อยที่สุดต้องสอนให้ "ค้าขายเป็น" คือต้องรู้เรื่องการเงิน รู้เรื่องทุน ซึ่งต้องปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเด็ก  เมื่อเราไม่สอนเรื่องเหล่านี้เลย .... ลูกหลานเราส่วนใหญ่จึงต้องเป็นทาสการเกษตร เป็นกรรมการ เป็นผู้ใช้แรงงาน เป็นลูกจ้าง เป็นชนชั้นล่างในระบบทุนนิยมเท่านั้น 

ท่าน ผอ. ฟังผมประมาณนี้แล้ว ท่านจึงเล่าถึงความล้มเหลวของคนสองคนที่อยากรวย  ผมตีความในใจว่า ทั้งสองกรณีนั้นเป็นผลจากที่หลายคนต้องมาเรียนรู้เรื่อง "การลงทุน" และการ "เป็นผู้ประกอบการ" แบบลองผิดลองถูกเอาเอง ซึ่งโอกาสมีไม่มากพอจะสะสมทักษะและความรู้เพียงพอจะต่อกรกับ เยาวชนคนชาติจีน อเมริกา ฯ ที่ฝ่าฟันฝึกฝนเรื่องนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก 

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกเส้นทางหนึ่ง  คือ การถอยตนเองออกมาอยู่เหนือ ระบบทุนนิยม สอนให้ลูกหลานเราเข้าใจและเข้าถึงระบบเศรษฐกิจพอเพียง ฉลาดที่จะอยู่ท่ามกลาง "ความรวยจอมปลอม" ที่ไหลเชี่ยว อยู่อย่างตั้งมั่นและเรียนรู้ทุกข์เพื่อเจริญปัญญา อันเป็นทางสายเอกในชีวิต  

 สุดท้ายนี้ ขอชมเชยนิสิตสาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป ที่จัดค่ายได้อย่างเรียบร้อยดีเยี่ยม ผมฟังท่าน ผอ. ชื่นชมซ้ำ ๆ หลายครั้ง จนอยากจะเดินชมผลงานการสานสัมพันธ์สู่ชุมชนของนิสิต  "ราษฎร์" ประธานรุ่นฯ ปี ๓ พานำชม ขอนำภาพมาบันทึกไว้เป็นความทรงจำ ต่อไปนี้ 


  • ลาน PBL 



  • แปลงผักปลอยสารพิษ  ... นิสิตจะกลับมาเยี่ยมชมต่อไป  


  • ทาสีกำแพงโรงเรียน 


  • สร้างสนามเบต็องขึ้นใหม่ ...น่าสนใจมาก 


หลังจากท่าน ผอ.กล่าวปิดค่ายฯ นิสิตเชิญผมขึ้นไปพูดให้โอวาทนิสิตแบบไม่ทันตั้งตัว ...  ผมฝากนิสิต ว่า หน้าที่ของครูวิทยาศาสตร์คือการสร้างบุคลากรทางวิทยาศาสตร์ให้กับประเทศนี้  สิ่งที่ครูวิทยาศาสตร์ต้องทำ ๓ ประการ คือ 
  • ทำให้นักเรียนเป็นคน "ช่างสงสัย" .... เพื่อจะสร้างคนที่ "ใฝ่เรียนรู้"  ซึ่งก็คือ "ผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต" ต่อไป 
  • เป็น "ครูนักสร้างแรงบันดาลใจ" ให้เด็กมีแรงบันดาลใจที่จะทำดี ทำเพื่อส่วนรวม เป็นคนที่มีคุณค่าของสังคม 
  • เป็น "ครูฝึก" ฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้กับนักเรียนให้เต็มตามศักยภาพของนักเรียน 
ท่านอ่านทั้งหมดนี้แล้ว ท่านเห็นว่าอย่างไรครับ 

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ศาสตราจารย์ นพ.วิจารณ์ กำลังจะออกหนังสือเล่มใหม่ "วิจัยชั้นเรียนเปลี่ยนครู"

ประมาณ ๒ สัปดาห์ก่อน ครูตุ๋ม (ศิริลักษณ์ ชมภูคำ) ครูเพื่อศิษย์อีสานรุ่นที่ ๑ เล่าให้ผมฟังว่า ทางมูลนิธิสยามกัมมาจล แจ้งว่าขณะนี้ ศาสตราจารย์ นพ.วิจารณ์ พานิช กำลังจะออกหนังสือเล่มใหม่ชื่อ "วิจัยชั้นเรียนเปลียนครู" และอยากจะลองให้ครูตุ๋มเขียนประสบการณ์ของตนเองเพื่อส่งให้ทางทีมงานและท่านลองพิจารณา ... ผมตีความขณะนั้นทันทีว่า ท่านคงเห็นว่าประสบการณ์และความสำเร็จของครูตุ๋มคือ ตัวอย่างของการ "วิจัยในชั้นเรียนเปลี่ยนครู"

หลายวันก่อนครูตุ๋มส่งต้นฉบับที่ท่านเขียนให้ผมช่วยอ่าน ... แม้ว่าผมจะพอเข้าใจกระบวนการและงานของครูตุ๋มดี(แน่นอนว่าไม่ทั้งหมด) แต่ไม่สามารถจะให้ความเห็นใดได้เลย เพราะที่ครูตุ๋มเขียนมานั้น ส่วนใหญ่เป็นภาษาใจและภาษานักปฏิบัติ (ภาษาพูดกึ่งเขียน) ซึ่งถ่ายทอดออกมาจากประสบการณ์ตรงของท่านอยู่แล้ว ... ถ้าใครอ่านเป็น เว้นวรรคตอนในใจได้ถูก นอกจากจะเข้าใจแล้ว ยังจะสามารถสัมผัสถึงปรัชญาและศรัทธาในใจผู้เขียนด้วย ... ผมจึงคิดว่าไม่น่าจะไปแก้ไขอะไรมาก ควรจะส่งไปให้ทีมบรรณาธิการอ่านและคักกรองเกลาเอาตามต้องการจะดีกว่า 

แต่ประเด็นสำคัญที่ผมสนใจคือ ทำไม ศ.นพ.วิจารณ์ ท่านจึง แนะนำให้ครูตุ๋มได้ลองเขียนประสบการณ์ฯ งานนี้ดู ... มีทางเดียวที่ผมจะได้คำตอบ คือ ผมต้องอ่านร่างต้นฉบับหนึ่งสือที่ทางมูลนิธิฯ ส่งมาให้ครูตุ๋ม ความจริงมีอยู่แล้วในบันทึก ๑๐ ตอน ชื่อ "วิจัยในชั้นเรียนเปลี่ยนครู" ที่ท่านเผยแพร่แล้ว (คลิกอ่านที่นี่ครับ) ซึ่งท่านตีความจากการอ่านหนังสือถอดบทเรียนตนเองของครูในประเทศไอร์แลนด์ ๔ คน ... ผมอ่านและตีความซ้อนอีกทีเพื่อให้ตนเองเข้าใจ และเผื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับครูเพื่อศิษย์ที่จะจับเอาเฉพาะประเด็นสำคัญ ๆ 

การอ่านแบบสแกนครั้งแรกของผม ไม่มีอะไรสะดุดใจให้อ่านละเอียด แม้ท่านจะบอกว่า หนังสือเล่มนี้อ่านแล้ววางไม่ลง (เพราะท่านอ่านแล้ววางไม่ลงนับไม่ถ้วนในจำนวนหนังสือนับไม่ถ้วนที่ท่านอ่านและตีความ) แต่เมื่อจำต้องอ่านละเอียด ผมกลับได้เรียนรู้สิ่งที่มีคุณค่ามากในชีวิตการทำงานเป็นอาจารย์สอนของตนเองด้วย ...

ประเภทของการวิจัย
  •  ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ แบ่งการวิจัยออกเป็น ๓ ประเภท ได้แก่ 
    • วิจัยเชิงทดลอง (empirical research) คือ การวิจัยโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ทั่วไป ได้แก่ กำหนดปัญหา ตั้งสมมติฐานทดลอง/ทดสอบสมมติฐาน และสรุปผล ซึ่งวิธีการหลักที่ทำให้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเจริญเท่าทุกวันนี้ การวิจัยแบบนี้เป็นการค้นหาความจริงบนฐานคิดว่า ต้องสามารถพิสูจน์ได้ พิสูจน์ซ้ำได้ และสามารถนำไปใช้กับคนอื่นได้  ลักษณะและข้อจำกัดของการวิจัยแบบนี้ต่อการนำมาพัฒนาผู้เรียน ได้แก่
      • ผู้วิจัยต้องเป็น "คนนอก" เป็นผู้สังเกตอย่างไม่มีอคติ 
      • การเขียนรายงานของวิจัยแบบนี้ จึงต้องใช้คำสรรพนามบุรุษที่ ๓ ห้ามใช้บุรุษที่ ๑ โดยเด็ดขาด
      • การวิจัยเชิงทดลองนี้จึงเหมาะสมกับการวิจัย "เพื่อรู้" ไม่ใช่เพื่อนำไป "ปฏิบัติ"
      • การวิจัยเชิงทดลองนี้จึงไม่มีส่วนหรือ "ไม่ช่วย" ให้เกิดองค์ความรู้ของวิชาชีพครู
      • ทั้งครูและนักเรียนไม่ใช่สิ่งของที่มีลักษณะแน่นอนตายตัวหรือคงที่ การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จึงไม่เหมาะกับการวิจัยแบบนี้
    • การวิจัยแนวตีความ (Interpretive Research) คือ การวิจัยโดยการทำตัวเป็นนักทฤษฎี ศึกษาปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมแล้วเข้าไปตีความ อธิบาย และให้คุณค่าต่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น  มีลักษณะและข้อจำกัดต่อการพัฒนาการเรียนรู้ของคน ดังนี้ 
      • ผู้วิจัยสามารถเป็นทั้ง "คนนอก" เป็นผู้สังเกตผู้วิจัย ผู้ตีความ และเป็น "คนใน" คือเป็นครูเป็นผู้ปฏิบัติ แต่จะไม่สามารถจะเป็นได้ในเวลาเดียวกันได้ ทำให้ต้องมีทีมหรือกระบวนการประเมินแบบร่วมมือ (เช่น PLC)
      • ข้อมูลจากห้องเรียน เช่น พฤติกรรมของนักเรียน พฤติกรรมต่อเพื่อนและต่อครู สามารถนำมาตีความหาความหมายได้อย่างดี และส่งผลให้เกิดการพัฒนาการคิดอย่างมืออาชีพของครู แต่มีผลในเชิงความคิดหรือทฤษฎีเท่านั้น ไม่มีผลทางการปฏิบัติ 
      • การวิจัยแบบตีความจะช่วยให้ครูเชื่อมโยงทฤษฎีกับความรู้เชิงปฏิบัติเข้าหาตนได้ และที่สำคัญที่สุดคือ จะทำให้ครูสามารถสร้างความรู้ขึ้นใช้เองได้ 
      • แต่คุณค่าของการวิจัยแนวตีความไม่ได้มุ่งไปสู่การปรับปรุงการปฏิบัติโดยตรง นักเรียนไม่ได้เป็นผู้ร่วมวิจัย จึงยังไม่ใช่การวิจัยที่เอานักเรียนเป็นศูนย์กลาง
    • การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) คือ งานวิจัยที่ผู้วิจัยคือผู้ปฏิบัติ มีนิยามความหมายหลากหลายกว้างขวาง (เขาแนะนำที่นี่) ผู้เขียนหนังสือนี้ให้นิยามว่า "การปฏิบัติเพื่อค้นหาสิ่งที่ไม่รู้ ซึ่งนำไปสู่การปรับปรุงงาน" ซึ่งมีลักษณะและข้อดี ดังนี้ ...
      • ผู้วิจัยคือ "คนใน" คือคนปฏิบัติ มุ่งเป้าเพื่อพัฒนาการปฏิบัติการสอนในบริบทของตนเอง เป็นการสร้างทฤษฎีที่่ใช้ได้จำเพาะบริบทเท่านั้น 
      • ให้ความสำคัญที่สุดกับข้อมูลเชิงคุณภาพ ข้อมูลปฐมภูมิที่ครูเก็บได้ และเก็บไว้อย่างเป็นระบบ เอื้อต่อการนำออกเผยแพร่ต่อนักเรียนหรือเพื่อนครูได้ง่าย ข้อมูลเหล่านี้มีความซับซ้อนมากและมีจำนวนมาก เช่น
        • แฟ้มสะสมงานของนักเรียนแต่ละคน
        • บันทึกการเรียนเข้าร่วมกิจกรรมและการมาเรียนของนักเรียน
        • เอกสารเช็คลิสท์แสดงผลสัมฤทธิ์รายวัตถุประสงค์
        • บันทึกการสอน
        • ภาพ ภาพถ่าย
        • วีดีทัศน์ 
        • ใบแสดงผลการศึกษา 
        • แบบสอบถาม 
        • บันทึกการพูดคุย
        • บันทึกเหตุการณ์เฉพาะเรื่อง
        • reflective journal (ผมตีความว่า อันนี้คือนวัตกรรมของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้) 
        • บันทึกการสอบทานกับเพื่อนครูและกัลยาณมิตร
        • ผลการประเมินตนเองและการประเมินโดยเพื่อนครู
        • กระดาษข้อสอบ 
        • ฯลฯ
      • การทำวิจัยเชิงปฏิบัติการ ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้หรือทฤษฎีอย่างเป็นระบบ แต่ใช้ความรู้เชิงปัญญาญาณ (intuitive knowledge) คือรู้เองเห็นเอง ซึ่งจะนำไปสู่ "ปัญญาปฏิบัติ" (Phronesis) ซึ่งเป็นความรู้จากการปฏิบัติ และจะทำให้เกิดทฤษฎีใหม่ของตนเองได้ ...  ตัวอย่างที่ชัดมากๆ ก็คือกรณีครูตุ๋มนี่เองครับ 
ทำไมหนังสือเล่มนี้จึงจะมีพลังเปลี่ยนครู

คำว่าวิจัยเชิงปฏิบัติการ คนไทย(ครูไทย) รู้จักกันมานานมากแล้วในชื่อ "การวิจัยในชั้นเรียน"  และดูเหมือนจะ "ไม่สำเร็จ" ในการขับเคลื่อนสู่ครูไทยด้วย เพราะการจัดการเรียนรู้ระดับ ป.โท ที่ผมพอทราบนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำวิจัยแบบนี้ เน้นไปทำวิจัยแบบ R&D ที่จบง่ายกว่า (ทำง่ายกว่า ตีพิมพ์ง่ายกว่า)  ก่อนอ่านร่างต้นฉบับหนังสือนี้ ผมสงสัยว่า ความพิเศษอะไรในกระบวนการวิจัยของครูผู้เขียนชาวไอร์แลนด์ ๔ คนนั้น ที่ทำให้ท่าน (ศ.นพ.วิจารณ์) ถึงกับตั้งความหวังว่า หนังสือรวมเล่มนี้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับครูละกระบวนการพัฒนาครูได้ ... ผมตีความตอบตนเองดังนี้ว่า 
  • การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ ยกตัวครูผู้วิจัยเป็นผู้ถูกวิจัยด้วย (อันนี้พิเศษกว่าการวิจัยในชั้นเรียนที่เข้าใจกันทั่วไป) ท่า่นใช้คำว่า ่"การวิจัยปฏิบัติการศึกษาตนเอง" (self-study action research)... ขอเรียกสั้นๆ ว่า "การวิจัยสงสัยตนเอง" หรือ "การวิจัยใคร่ครวญตนเอง"
  • โดยยึดหลักว่า ความรู้เกิดขึ้นที่ผู้เรียนหรือที่ตนเองเท่านั้น นักเรียนเป็นผู้สร้างความรู้ (constuctivism) นักเรียนร่วมกันสร้างสความหมายของสิ่งต่างๆ ของกิจกรรมต่างๆ 
  • การวิจัยแบบใคร่ครวญตนเองนี้ มีหลักการและวิธีการเด่นๆ ดังนี้ 
    • ใคร่ครวญให้ลุ่มลึกถึงระดับคุณค่าของการศึกษา (epistemological values) และคุณค่าด้านการมองความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคมหรือตนเองกับผู้อื่น (ontological values)
      • epistemological value คือ มุมมองต่อความรู้ การสร้างความรู้ และการรับความรู้ 
      • ontological value คือ มุมมองด้านธรรมชาติของสรรพสิ่ง ด้านการรู้จักตนเองว่าเป็นเพียงส่วนย่อยในภาพรวม และความเข้าใจด้านความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับผู้อื่น
    • ใคร่ครวญด้วยการตั้งคำถามของตนเอง ตั้งคำถามกับตนเองเพื่อตนเองได้ใครครวญสะท้อนคิดอย่างลึกซึ้งจริงจัง (critical reflection) เช่น ทำไมเราจึงทำอย่างที่ปฏิบัติอยู่ และจะเรียนรู้เพื่อทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างไร  ฯลฯ ... นี่คือเครื่องมือหลักและวิธีการหลักของครู ๔ คนผู้ประสบผลสำเร็จนี้ 
    • การใคร่ครวญสะท้อนคิดไปเรื่อยๆ ทำให้ครูค้นพบปัจจัยสู่ความเป็นครูมือาชีพ ๕ ประการ คือ 
      • การใคร่ครวญสะท้อนคิด
      • ความมีใจเปิดรับ (open-mindedness)
      • การเทใจ (whole-heartedness) ...  คงหมายถึงการทุ่มเททั้งหัวใจ
      • ความรับผิดชอบทางปัญญา (intellecutal responsibility)... น่าจะตรงกับจิตวิญญาณความเป็นครูของเรา
      • ความสนใจใคร่ครูทางปัญญา (intellectual integrity) ... น่าจะหมายถึงความใฝ่รู้ใฝ่เรียน 
  • สิ่งที่ครูเปลี่ยนไปหลังจากทำวิจัยแบบใคร่ครวญตนเองนี้ ได้แก่
    • เปลี่ยนจากพูดคนเดียว (monolouge) ไปเป็นพูดกันทั้งห้อง (dialogue) คือเปลี่ยนไปเป็นการเสวนา สนทนากันในห้องเรียน ...มีงานวิจัยชี้ว่า ๒ ใน ๓ ของเวลาในชั้นเรียน ครูเป็นผู้พูด และ ๒ ใน ๓ ของคำถามที่ครูถามเป็นคำถามปลายปิด
      • นักเรียนร่วมสร้างความรู้ (co-construct)
      • นักเรียนที่เป็นคนช่างพูด ทำหน้าที่ scaffolding (สรุปความ) ซึ่งจะช่วยให้คนไม่ช่างพูดเรียนรู้วิธีการเรียงถ้อยคำพูดออกมาได้
      • ทำให้การประเมินสะท้อนสภาพจริงมากขึ้น แทนที่จะใช้การเขียนอย่างเดียว 
      • เกิดความหมายและความแตกต่างที่หลากหลายมาก
      • ครูได้ฝึกตั้งคำถาม ... ซึ่งช่วยให้เกิดทักษะการคิดอย่างลึกซึ้ง (critical thinking)
      • ครูเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับ "ความรู้" และ "การรู้" ของนักเรียนในมุมมองใหม่ๆ 
      • ครูได้เปิดมุมมองของการเรียนรู้ในโรงเรียนที่ซับซ้อนขึ้น
    • เปลี่ยนจากสอนโดยการถ่ายทอด "ครูบอก ครูสอน" ไปเป็น "ครูฝึก" "ครูอำนวยการเรียนรู้"
      • เปลี่ยนจากห้องสอน (didactic classroom) ไปเป็นห้องแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (dialogic classroom) 
    • เปลี่ยนจากการ "ควบคุม" ห้องเรียน ไปสู่การ "อิสรภาพ" "ความเป็นธรรม"  "ความเอื้ออาทร" และ "ความคิดสร้างสรรค์" โดยใช้กิจกรรมหรือโอกาส เอื้อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้
ข้อสังเกตก่อนจะตีความหรือวิพากษ์
  • ครูผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ มาเป็นครูตอนอายุ ๑๙ ในปี ๑๙๗๐ สอนตามแนวทาง "ถ่ายทอดความรู้" อยู่ในระบบถึง ๒๐ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นครูแนวส่งเสริมให้นักเรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง 
  • ครูผู้เขียนบอกว่า สิ่งที่ทำให้ตนเองเปลี่ยนแปลงคือ การกลายมาเป็นนักคิดอย่างจริงจัง (critical thinker)  สิ่งที่ทำให้ท่านพัฒนาทักษะการคิดนี้คือ การตั้งคำถามให้ตนเองใคร่ครวญ เช่น 
    • ในความเห็นของฉัน จุดเด่นที่สุดด้านการทำหน้าที่ครูของฉันคืออะไร
    • อะไรคือสาเหตที่ทำให้ฉันไม่พอใจกับการสอนของตนเอง หรือเป็นสาเหตุให้ฉันต้องปรับปรุงการสอนของตน
    • ฉันคิดเรื่องการสอนในฐานะวิชาชีพตลอดชีวิตของตนอย่างไร ฉันเชื่อว่าฉันกำลังเป็นครูที่ดีอยู่หรือไม่
    • ใครเป็นผู้พูดส่วนใหญ่ มีการพูดจากนักเรียนแค่ไหน ความแตกต่างระหว่างสนุทรียสนทนา (dialogue) กับการถามแบบมีคำอธิบายแตกต่างกันอย่างไร
    • นักเรียนมีบทบาทในการตัดสินใจในห้องเรียนหรือโรงเรียนแค่ไหน เสียงของนักเรียนได้รับการฟังบ่อยไหม ข้อเสนอของนักเรียนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแค่ไหน 
    • ฉันมีวิธีตั้งคำถามในชั้นเรียนแบบไหน ฉันให้ feedback กับนักเรียนอย่างไร เป็นไปได้ไหมว่าฉันจะให้เวลานักเรียนคิด 
    • นักเรียนตอบคำถามตามที่ครูอยากจะได้ยิน หรือตอบคำถามตามที่ตนคิด
    • ทำไมฉันจึงค้างคาใจในสิ่งนี้
    • ทำไมฉันจึงทำสิ่งนี้ทุกวัน
    • ฉันได้เรียนรู้จากกิจกรรมเหล่านั้นอย่างไร
    • คุณค่าของสิ่งนี้คืออะไร 
    • คุณค่าของสิ่งนี้สำหรับนักเรียนคืออะไร สำหรับฉันคืออะไร สำหรับโรงเรียนคืออะไร 
    • คุณค่าของความเอื้ออาทรสะท้อนมากับนโยบายและแนวปฏิบัติของโรงเรียนอย่างไร 
    • ฉันจัดให้นักเรียนแบบไหนเป็น "นักเรียนเรียนดี" 
    • ฉันมองความรู้เป็นผลผลิต (product) หรือเป็นกระบวนการ (process)
    • ฯลฯ 
  • ครูผู้เขียนบอกว่า สิ่งที่สร้างให้ตนเองมีแรงบันดาลใจที่จะเปลี่ยแปลงมาจากการอ่าน อ่านหนังสือด้านการศึกษาดีๆ จำนวนมาก ... (ผมตีความว่า ถูกบังคับให้อ่านเพราะต้องเรียนให้จบปริญญาโท)
  • มีงานวิจัยชี้ว่า 
    • ครูระดับประถมศึกษาในอังกฤษอ่านหนังสือวิชาการครูน้อยมาก 
    • ครูที่ออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา ไม่อ่านหนังสือวิชาการด้านการศึกษา
  • หลังจากผ่านไป ๒๐ ปี ครูผู้เขียนเริ่มรู้สึกถึงค่านิยมต่อการศึกษาที่แตกต่างจากเดิม และค่อยๆ เกิดความขัดแย้งรุนแรง กลายเป็นความอึดอัด จึงหาทางออกโดยให้นักเรียนใช้อินเตอร์เน็ตและมัลติมิเดียสื่อสารกับนักเรียนอื่นและตนเองก็เริ่มสื่อสารกับเพื่อนครูท่านอื่นด้วยเว็บเพจและอีเมล์ โดยที่ตอนนั้นก็ยังไม่แก่กล้าพอที่จะตั้งคำถามว่า ทำไมฉันถึงสอนแบบนี้ 
  • สังเกตว่า ครูผู้เขียนสังเกต (ระลึกรู้) ถึงความ "อึดอัด" ของตนเองเป็นจุดเริ่มของการเปลี่ยน โดยใช้วิธีการคลีคลายความอึดอัดนั้นด้วยการค้นหาคำตอบให้ตนเอง โดนเริ่มจากการตั้งคำถาม 
  • เครื่องมือสำคัญที่ทำให้ครูผู้เขียนยกระดับความรู้ความเข้าใจของตนเองมากๆ ก็คือ การเขียน refletive journal คือ การเขียนไดอารี่บันทึกการคิดของตนเองแล้วนำกลับมาอ่านใคร่ครวญบ่อยๆ 
  • ในช่วงแรกของการเปลี่ยนแปลงการสอน ครูผู้เขียนเกิดความกังวลมาก กังวลต่อความศึกษานิเทศก์ถ้าสอนไม่ครบตามหลักสูตร นักเรียนบางคนก็ไม่ให้ความร่วมมือ นักเรียนส่วนใหญ่ก็เงียบ จนเกิดความท้อ แต่ไม่ถอยเนื่องจากเป็นงานเพื่อวิทยานิพนธ์ปริญญาโท
ตีความและวิพากษ์
  • ผมตีความว่า ที่ ศ.นพ.วิจารณ์ ท่านประทับใจชี้ให้ขยายผลหนังสือนี้ ด้วยเหตุว่า 
    • นี่คือตัวอย่างของครูในศตวรรษที่ ๒๑ 
    • นี่คือตัวอย่างความสำเร็จของครูที่ใช้ใคร่ครวญสะท้อนคิด หรือ Reflection ยกระดับทักษะและความรู้ด้านวิชาชีพครู จนสามารถเปลี่ยนแปลงการสอนของตนเองได้... ซึ่งเรื่องนี้ท่านขับเคลื่อนมาตั้งแต่แรกเริ่มก่อนใคร
    • นี่คือความสำเร็จของการนำ จิตตปัญญาศึกษา (การเรียนรู้ดวยใจอย่างใคร่ครวญ (contemplative learning)) หรือ การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง (transfomative learning) มาใช้จริงในห้องเรียน และสร้างผลสำเร็จเป็นรูปธรรม  
    • นี่คือความสำเร็จของครูทีเกิดจากการจัดการความรู้ตนเอง ผ่านการเขียน reflective journal  หรือก็คือเขียนบันทึกและอนุทินการเรียนการสอนของตนเอง แล้วนำกลับมาใคร่ครวญบ่อยๆ นั่นเอง ... ผมตีความว่า ท่านเล็งเห็นจุดนี้มานานแล้ว และนี่เป็นที่มาของเว็บไวต์ gotoknow นี้ด้วย 
    • นี่คือความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงของครูผู้เริ่มที่ตนเอง (ภายใต้ระบบเดิม)..ศ.นพ.วิจารณ์ ย้ำในการตีความของท่านว่า การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนเริ่มที่ตนเองเท่านั้น
  • ผมตีความว่า กรณีความสำเร็จนี้แตกต่างจากความสำเร็จของครูตุ๋ม ศิริลักษณ์ ชมภูคำ ดังนี้ครับ
    • หากแบ่งจริตของการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองออกเป็น ๓ ฐาน คือฐานกาย ฐานใจ และฐานคิด (ตามทฤษฎีด้านจิตตปัญญาศึกษา) จะพบว่า ครูผู้เขียนนี้พัฒนามาทางด้านฐานคิด ใช้การคิดเป็นทั้งเหตุและผล พัฒนาทั้งตนเองและนักเรียน เป็นทั้งเครื่องมือและกระบวนการ ต่างจากครูตุ๋มที่ใช้ฐานใจ ความรัก ความเมตตา จนก่อให้เกิดความความศรัทธาของเด็กๆ ต่อครู 
      • ครูผู้เขียนใช้การสะท้อนคิดใคร่ครวญและการเขียนเป็นหลัก แต่ครูตุ๋มมีความเพียรความรักและจิตวิญญาณความเป็นครูเป็นหัวใจ
      • ครูผู้เขียนใช้การตั้งคำถามให้ตนเองได้ใคร่ครวญ แต่ครูตุ๋มไม่ได้เน้นการคิดใคร่ครวญ แต่เน้นการรับรู้จากสัมผัส เมตตา และปรารถนาอย่างแรงกล้าให้เด็กๆ อ่านออกเขียนได้ ... หลังจากที่ในปี ๒๕๕๓ พบว่า นักเรียน ป.๖ จำนวน ๒๓ คน อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ถึง ๑๑ คน 
      • ครูผู้เขียนใช้เงื่อนไขโดยสร้างเงื่อนไขในการพัฒนาเด็กรายบุคคล แต่ครูตุ๋มใช้การเป็นแบบอย่าง ใช้การเป็นต้นแบบให้ได้ใจเด็ก เมื่อเด็กศรัทธา จึงตั้งใจ ถึงตอนนั้นความถนัดในการใช้เรื่องเล่า เล่าเรื่อง อธิบาย อุปมา อุปมัย ด้วยสิ่งใกล้ตัวจึงใช้ได้ผลดีมาก 
    • ผมตีความว่า เราคงไม่สามารถหาตัวอย่าง BP แบบครูตุ๋มหรือแบบที่เรามีในประเทศเรามี ได้ง่ายนักในวัฒนธรรมของชาวตะวันตก ในทำนองเดียวกัน เราคงจะหา BP แบบครูผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้ง่ายนักในประเทศไทย โดยเฉพาะระดับประถมศึกษา  ยกเว้นโรงเรียนในเมืองของครูและผู้ปกครอง "ผู้พร้อม" (ไม่ใช่นักเรียนส่วนใหญ่) ... ผมคิดว่า เราเน้นไปที่ "ความดี" เน้นสร้างเด็กดี มีวินัย ภูมิใจในความเอื้อเฟื้อ แบ่งปันแบบนี้ดีกว่า 
      • "อ่านออก" "เขียนได้"  เหมือนกัน แต่
      • "คิดเป็น" อาจจะไม่เหมือนกัน 
  • ปัจจัยแห่งความสำเร็จที่คลายกันระหว่างครูผู้เขียนกับครูตุ๋ม
    • วิธีที่ครูตุ๋มพัฒนาตนเองมา จนประสบความสำเร็จในการพัฒนานักเรียนจิตอาสาและแก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ คือการวิจัยเชิงปฏิบัติการ หรือ Action Reseach แน่อน  แต่ไม่อาจจัดเป็น "วิจัยใคร่ครวญตนเอง" (self-study action research) เหมือนกับที่ท่านกล่าวถึง  เป็นการวิจัยที่มีลักษณะดังนี้ 
      • เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยเป็น "คนใน" เหมือนกัน ครูคือผู้เห็นปัญหา หาทางแก้ปัญหา  จนสามารถกสร้างปัญญาปฏิบัติ (Phronesis) ขึ้น คือ การแก้ปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ด้วยกระบวนการ ๖ ขั้นตอนร่วมกับนักเรียนจิตอาสา ซึ่งหากดูในรายละเอียด จะพบว่าการใช้วิธีการ ๖ ขั้นนั้น แตกต่างไปในรายละเอียดของเด็กแต่ละคนๆ 
      • เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการที่เน้นเอาปัญหาของนักเรียนรายบุคคลเป็นศูนย์กลางโดยใช้ความใส่ใจ รัก เมตตา ปรารถนาดีเป็นหลัก  
      • กระบวนการวิจัยอาจแบ่งเป็น ๒ ขั้นสำหรับนักเรียนบกพร่องด้านการเรียนรู้ (นักเรียน LD) คือ ขั้นรักษาใจและการพัฒนาทักษะ 
        • ขั้นรักษาใจ คือ การปรับพฤติกรรมให้มีเจตคติที่ดีต่อการมาเรียน กับการอ่านออกเขียนได้  นักเรียนหลายคนที่เริ่มต้นไม่ยอมมาเรียน บ้างมาเรียนก็ไม่เข้าห้องเรียน บ้างเข้าห้องเรียนก็ไม่เรียน บางคนต้องใช้เวลาเป็นแรมปีในการรักษาใจให้พร้อมเรียนรู้ได้ 
        • ขั้นพัฒนา คือ การพัฒนาทักษะการอ่านออกเขียนได้ ขั้นนี้เองที่ครูตุ๋มใช้ทักษะการวิจัย จนได้ทฤษฎีบันได ๖ ขั้น ดังที่ได้เผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง
      • น่าจะเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบวิถีไทย หรือเรียกสั้นๆ ว่า "วิจัยวิถีไทย" คือ เอาความศรัทธานำ เคารพ นอบน้อม คือใช้การอบรมบ่มนิสัย ให้ก่อน ครูเป็นผู้ให้และทำเป็นแบบอย่าง  แล้วลองผิดลองถูกในส่วนรายละเอียดของการปฏิบัติแต่ละคนแต่ละสถานการณ์  (ควรจะเรียกว่าไร้รูปแบบ )
    • "การวิจัยวิถีไทย" ครูจะไม่ค่อยได้มาเขียนบันทึกหรือถอดบทเรียนตนเองมากนัก และความสำเร็จในการวิจัยนก็จะฝังอยู่ตัวอยู่ในลักษณ์ ความรู้ฝังลึก (tacit knowledge) ตรงนี้เองที่นักการศึกษาจะต้องมา "ถอดบทเรียน" ... แม้ว่าการถอดบทเรียนจะไม่ใช่ปัจจัยที่มำให้ครูเปลี่ยนโดยตรง แต่ผมมั่นใจว่าเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้ครูตุ๋มมีพลังมากขึ้น ... ต่อไปจะขอเรียกสั้น ๆ ว่า  "ถอดบทเรียนเปลี่ยนครู" 
    • ผมคิดว่าครูไทยน้อกว่าร้อยละ ๑ ที่อ่านผลงานวิชาการด้านการศึกษา การ "ถอดบทเรียน" หรือ "เขียนหนังสือ" ให้ครูอ่านนั้น ได้ผลน้อยมาก  
    • แต่คนไทย ครูไทย ชอบสนทนา ชอบคุยตามประสาพี่น้อง รักใคร่เอื้อเฟื้อกัน ดังนั้นคือ ต้องสร้างคุณอำนวยการเรียนรู้ (Facilitator) ไปถอดบทเรียน แล้วเอาบทเรียนที่ได้ไปเล่าต่อ บอกต่อ สร้างกันเป็น PLC ต่อไป ...  ข้อนี้ผมจะบอกว่า ครูส่วนใหญ่ไม่สามารถจะเริ่มต้นด้วยตนเองได้... ผมอาจคิดผิด ต้องอภัยเพื่อนครูท่านอ่านมาถึงตรงนี้ 
    • จิตวิญญาณความเป็นครู ทำให้ครูตุ๋มมีความสุขเมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของนักเรียน ความสุขของครูเพื่อศิษย์แบบนี้นี่เองที่เป็นปัจจัยให้เกิดจิตใจจะเอาชนะปัญหาและสร้างปัญญาให้กับเด็ก 
  • สรุปคือต้องบ่มเพาะจิตวิญญาณความเป็นครูและขยายผลการวิจัยวิถีไทยแบบเราไปมากๆ 
ขอบคุณภาพจากเฟสครูตุ๋มครับ

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2561

เวที PLC พูนพลังครูเพื่อศิษย์อีสาน ปี ๒๕๖๑ (๒) : Logbook ที่ดีจะทำให้เกิด PLC (ผมช็อคกับรูปแบบการทำ Logbook ที่ให้ครูทำ)

วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา ทีมขับเคลื่อนอิสระ "ฅนคนครู" จัดเวที "พูนพลังครูเพื่อศิษย์อีสาน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑"  มีครูเพื่อศิษย์อีสาน ๑๕ ท่าน ศึกษานิเทศก์ ๓ ท่าน และผู้อำนวยการโรงเรียน ๒ ท่าน มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ถือเป็น PLC หรือ ชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ อีกวงที่ส่งผลต่อความสุขของผู้เข้าร่วมทุกคน

หลังจากที่ได้รับแรงบันดาลใจและคำแนะนำแนวทางการขับเคลื่อนต่อไปจาก ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช (อ่านบันทึกที่ ๑ ที่นี่)  เรากลับมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน โดยแบ่งเป็น ๓ กลุ่มย่อย คือ กลุ่มปฐมวัย กลุ่มประถมและมัธยม และกลุ่ม "ฅนค้นครู" คือ ผอ. ศน. ได้ผลสรุปที่น่าสนใจ หลายประเด็น  แต่ปีนี้เราไม่ได้คาดหวังการ  Show&Share แบบเต็มรูปแบบ จึงจัดเพียงครึ่งวัน ดังนั้นจึงไม่มีเวลาพอที่จะถอดบทเรียนและแลกเปลี่ยนกัน ... ขอสรุปสั้นๆ ไว้ให้เป็นเหตุการระลึกถึง ดังนี้



  • กลุ่มที่ ๑ ครูประถมและมัธยม
    • ครูเพ็ญศรี ใจกล้า แลกเปลี่ยนเรื่อง โมเดล 3PBL คือ เรียนรู้ในรูปแบบ (Pattern-based) เรียนรู้ด้วยการทำโครงการ (Project-based) และ เรียนรู้โดยใช้การแก้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based) 
    • ครูอัจฉราวรรณ ภิบาล แลกเปลี่ยนเรื่องการสอนทักษะภาษาอังกฤษ ฟัง พูด อ่าน เขียน โดยให้ทำหนังสั้น โดยเน้นการทำงานเป็นทีม ทั้งระหว่างครูกับนักเรียน และระหว่างนักเรียน
    • ครูเพ็ญศรี กานุมาร แลกเปลี่ยนเรื่องการเรียนรู้จากป่าในโรงเรียน เน้นการเรียนรู้พันธุ์โดยบูรณาการระหว่างโรงเรียนและชุมชนผ่านปราชญชาวบ้าน ผ่านรายวิชาวิทยาศาสตร์ 
    • ครูจีระนันท์ จันทยุทธ แลกเปลี่ยนเรียนรู้นอกห้องเรียน วิถีชีวิตในท้องถิ่น โดยให้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ที่เน้นการลงมือปฏิบัติ พัฒนานักทักษะการนำตนเองของนักเรียน 

    • ครูวรารัตน์ แลกเปลี่ยนการจัดการเรียนรู้มุ่งให้เกิดทักษะชีวิตสู่อาชีพในท้องถิ่น โดยบูรณาการทุกรายวิชา ด้วยการสอนแบบ PBL ในช่วงเวลาลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ และเน้นกระบวนการคิดสร้างสรรค์ 
    • ครูกรรณิการ์ แลกเปลี่ยนเทคนิคการแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ด้วยความรักความเมตตา ดูแลเด็กรายบุคคล เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญจริงๆ และนำเอากระบวนการ ๖ ขั้นของครูตุ๋มไปใช้ 
    • ครูสุรียนต์ ฉิมพลี แลกเปลี่ยนการจัดการเรียนรู้แบบไร้รูปแบบ หลากหลายรูปแบบ บูรณาการทุกรายวิชา เน้นสร้างห้องเรียนแห่งความสุข  


    • ครูปราณี จงจอหอ แลกเปลี่ยนการสอนภาษาไทยด้วยเพลง เกมส์ และนิทาน (น่าจะเคยถอดบทเรียนท่านไว้แล้วครั้งหนึ่ง สู้ต่อนะครับอาจารย์)
    • ครูพัชรา แลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการสอนภาษาไทยว่า "อย่าเยอะ อย่าแยะ"  ต้องไม่เน้นเนื้อหาเกินไป ยืดหยุ่น เน้นให้เกิดความสุข ความสนุกสนานในชั้นเรียน 



  • กลุ่มย่อยที่ ๒ ครูปฐมวัย 




    •  ครูคเณศ เป็นตัวแทนกลุ่ม ท่านเน้นว่า สำคัญคือต้อง "เล่นปนเรียน"  จับหลักสำคัญว่า เรามุ่งให้เด็กมีพัฒนาการ ๔ ด้าน คือ ร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเรียนในระดับประถม 

 


  • กลุ่ม "ฅนค้นคน"
    • ก่อนเริ่มการแลกเปลี่ยน ผมเล่าให้ท่าน ผอ. ศน. ฟังว่า ระหว่างเดินไปส่งท่าน ท่านตั้งโจทย์ว่า จะทำอย่างให้ให้คุณครูไป "ก่อกระบวนการ" ขยายผลประสบการณ์ของตนเอง 

    • ท่าน ผอ.ไพฑูรย์ แวววงศ์ เสนอทันทีว่า ให้เข้าร่วมจัดทำเป็นหลักสูตรในโครงการคูปองครู 
    • ผอ.ปรีชา เสนอว่า ท่านจะสร้างเครือข่ายผู้อำนวยการเพื่อขับเคลื่อนขยายผลออกไปอีกทางหนึ่ง
    • ศน.อัชรา บอกว่า เทศบาลเมืองมหาสารคาม ได้บูรณาการงานนี้ เข้าไปกับระบบและกลไกการประเมินและส่งเสริมความก้าวหน้าของครูแล้ว 
    • ศน.กันยารัตน์ บอกว่า อบจ. เริ่มให้มีการทำ PLC อย่างจริงจังแล้ว และกำลังนำร่องอย่างจริงจังแบบทั้งโรงเรียน (Whole School PLC) 
    • ศน.สุรัมภา จาก กศจ.มหาสารคาม ท่านบอกว่า ตอนนี้กำลังขยาย "SARAKHAM Model" ออกไปสู่กลุ่มเป้าหมายโรงเรียนเอกชน และท่านเองตอนนี้เป็นกรรมการผู้ทรงของสำนักปลัดกระทรวง หากมีโอกาสก็จะเสนอโครงการขยายผลนี้ด้วย 
    • ประเด็นสำคัญที่สุดที่ (ผม) เข้าใจว่า จะช่วยให้ครูเพื่อศิษย์ขยายผลและประสบการณ์ของตนออกไปได้เร็วที่สุดคือ การเขียนบันทึกลงใน Logbook  และครูก็จะได้ประโยชน์จาก Logbook ที่ตนเองเขียนด้วย เพราะขณะนี้สำนักงาน ก.ค.ศ. กระทรวงศึกษา ได้กำหนดเป็นเกณฑ์สำหรับการเลื่อนวิทยฐานะครูแล้ว 
 Logbook

จากการสืบค้น พบว่าเอกสารเผยแพร่และไฟล์ช่วยจัดทำเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับความก้าวหน้าในวิชาชีพของครู สามารถดูและดาวน์โหลดได้ที่นี่   ผมจับความได้ว่า หากครูจะขอวิทยาฐานะ จะต้องกรอกแบบฟอร์มเอกสารจัดทำแบบ "ว.xx"  มี ๙ องค์ประกอบ  องค์ประกอบที่ ๗ คือการมีส่วนร่วมในการทำ PLC ซึ่งมีองค์ประกอบ ดังนี้

  • วันที่ 
  • ชื่อกลุ่มกิจกรรม
  • จำนวนสมาชิก
  • ชื่อกิจกรรม
  • ครั้งที่ 
  • วันเดือนปีที่จัดกิจกรรม
  • ภาคเรียน
  • ปีการศึกษา/ปีงบประมาณ
  • จำนวนชั่วโมง
  • บทบาท
  • จำนวนสมาชิกที่เข้าร่วมกิจกรรม
  • ประเด็น
  • สาเหตุ
  • ความรู้/หลักการที่นำมาใช้
  • กิจกรรมที่ทำ
  • ผลที่ได้จากกิจกรรม
  • การนำผลที่ได้ไปใช้
  • อื่นๆ
  • รหัสเอกสารสำหรับตรวจสอบ
  • การรับรองจาก ผอ. 

ผมศึกษามาถึงตรงนี้ .... ผมรู้สึกช็อค.... ช็อคกับเรื่องนี้... นี้มันเพิ่มงาน นี่มั่นงานของนักทำเอกสาร ครูเพื่อศิษย์ที่ผมรู้จัก ไม่มีเวลามาเรียนรู้การเขียนเอกสารแบบนี้ เพราะท่านจะไม่ให้ความสำคัญกับการรายงานเอกสารแบบนี้  และท่านก็ไม่สนใจการเลื่อนวิทยฐานะนั้นด้วย ... สุดท้ายครูเพื่อศิษย์ที่อยู่กับเด็กจริงๆ ก็จะถูกทอดทิ้งอีกต่อไป

.... ทำไม สพฐ. จึงยังไม่ตื่น ไม่เข้าใจว่า ควรจะทำอย่างไร ....

ผมขอแยกไปเขียนข้อเสนอในความเห็นของ "ฅนค้นครู" ไว้ในบันทึกหน้าจะดีกว่าครับ.....









วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

PLC มหาสารคาม ประจำปี ๒๕๕๙ _ ๐๑ : ชวนกันคุยลุยกันต่อ

วันนี้ (๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙) เพื่อนครูเพื่อศิษย์อ ๕ ท่าน ชวนกันมาคุยกันที่ CADL สำนักศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยมหาสารคาม แบบไม่เป็นทางการ เกี่ยวกับงานเวทีครูเพื่อศิษย์อีสาน ปีนี้ที่ตามแผนแล้วเราจะจัดกันภายในเดือนมิถุนายนนี้


คุณครูทุกคนคุยกันอย่างคุ้ยเคยและมีความสุข ผมเองก็ห่างหายจากบรรยายกาศการสนทนากับคุณครูแบบนี้นานแล้ว  อยากบันทึกประเด็นสำคัญและข้อสรุปในการสนทนา มาแลกเปลี่ยนให้เพื่อนๆ ครูเพื่อศิษย์มาต่อเติม ดังนี้ครับ
  • ครูพี่ใหญ่ที่เป็นหลักให้น้องๆ (ครูเพ็ญศรี ใจกล้า) บอกว่า ท่านไปเห็นแนวทางที่น่าจะนำมาต่อยอดให้กลุ่มเราเอาไปใช้  เวทีหน้าขออาสาจะมาเล่าให้ฟังว่า 3PBL  ที่เราพัฒนามา  สามารถต่อยอดให้สมบูรณ์ขึ้นได้ด้วยการเน้นมองไปให้ถึงการสร้าง "นวัตกรรม" เพื่อคนในท้องถิ่น 
  • ครูเพ็ญศรี ตั้งคำถามว่า ... ทำไม PLC กลุ่มเราทำมาก็หลายปี ทำไมขยายจำนวนครูเพื่อศิษย์ออกไปไม่ได้เท่าที่ควร 
  • ผมยอมรับในใจ แต่ก็บอกให้ทราบถึงประโยชน์ทันทีว่า การสร้างเครือข่ายกับเพื่อนครูที่ผ่านมา ทำให้มหาวิทยาลัยได้นิสิตใหม่ในโครงการเด็กดีมีที่เรียนที่มีคุณภาพมากขึ้น ... (ความรู้สึกผุดขึ้นในใจว่า ...หรือจะได้ประโยชน์เฉพาะมหาวิทยาลัย ... แล้วใจของเพื่อนครูล่ะ?... จากนั้นความคิดเรื่องโทษตัวเองก็ตามมาเป็นพรวน...)
  • ครูเพ็ญ (เพ็ญศรี กานุมาร) บอกว่า 3PBL ที่ ร.ร. นาสีนวน ก็ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง นักเรียนใช้ป่าเป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องสมุนไพรในโรงเรียน ตอนนี้ท่านกำลังจะลุยเรื่อยภาษาอังกฤษของนักเรียน เพราะโรงเรียนเป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายของ SEMEO 
  • ครูอ๋อย (อัจฉราวรรณ ภิบาล) ก็ยังทำงานหนักเหมือนเดิม และยั่งเพิ่มขยายขอบเขตออกไปร่วมมือกับโรงพยาบาลเรื่องช่วยเหลือเด็กเกี่ยวกับปัญหารักวัยรุ่น แม้จะไม่เคยได้สองขั้นเหมือนใครๆ แถมยังให้กำลังใจ CADL ..ให้สู้ต่อไป รางวัลครูเพื่อศิษย์ที่ CADL ให้ท่านนั้นมีคุณค่ามาก
  • ครูกุ้ง (สุกัญญา) และครูเรย์ (จิรนันท์) สองท่านนี้คือ ครูต้นเรื่องของเราในเวทีหน้านี้ จึงต้องหาวิธีช่วยท่านถอดบทเรียนตนเองให้ชัดๆ ก่อนถึงวันนั้น 
  • ครูตุ๋ม (ศิริลักษณ์ ชมภูคำ) สมาชิกครูเจ้าฟ้ามหาจักรีปี ๕๘ เล่าว่า การได้รับเลือกเป็นกรรมการสภาการศึกษาจังหวัด (กศจ.) นั้น น่าจะทำให้เราสามารถขยายครูดีครูเพื่อศิษย์ออกไปได้เร็วขึ้น เพราะด้วยศักดิ์ศรีความดีและผลงานที่ทำมาจนได้รับเลือกเป็น กศจ. แล้ว ในการขยายผลในโครงการของครูเจ้าฟ้า จะต้องมีครูตั้งใจฟัง และเกิดพลังที่จะเอาไปทำดูมากขึ้นแน่
  • CADL จะได้รับการสนับสนุนให้เดินต่อไปหรือไม่?ในรูปแบบใด? แต่ผมก็ยังจะทำเรื่องนี้เต็มกำลังของตนเองต่อไป ... (ลืมบอกต่อเหมือนกับบอกน้องๆ CADL ว่า ...จนตราบใดที่รูปการ์ตูนหน้าเฟสของผมยังไม่เปลี่ยน ก็คือยังไม่ท้อ) 
ผมสรุป Passion Plan (สิ่งที่จะทำต่อไป) ตอนท้ายด้วยรูปด้านล่างนี้



 คำอธิบายภาพ
  • CADL จะมีต่อไป โดยมุ่งไปที่การค้นหาครูดีครูเพื่อศิษย์ โดยดูจากผลเชิงประจักษ์จากนักเรียนจริงๆ 
  • เมื่อเจอครูเพื่อศิษย์ สิ่งที่ต้องช่วยหนุนครูดีคือ ถอดบทเรียน จัดการความรู้ (KM) และเผยแพร่ทาง www.gotoknow.org (G2K) 
  • ใช้ตัวอย่างของความดีของครูเพื่อศิษย์นั้น เป็นเครื่องมือสร้างและขยายเครือข่ายครูหรือชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ต่อไป ... หมุนไปเป็นวัฎจักรวงจรให้ได้ 
  • CADL คงไม่มีกำลังที่จะหนุนครูไปให้ถึงตำแหน่งทางวิชาการในขณะนี้ แต่ถึงแม้จะมีศักยภาพในภายหน้า ... ผมก็เสนอว่าไม่น่าจะเป็นงานหลัก ตราบใดที่ระบบยังเป็นการขอตำแหน่งให้ตนเอง... 
  • ไม่แน่ ครูดี หรือ PLC ที่เกิดขึ้น อาจเปลี่ยน "ระบบ" ให้ดีขึ้นก็เป็นได้ ...

(จบเท่านี้ครับ)

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ความพยายามจะ "พูนพลังครู" ทั่วประเทศไทย ของผู้หลักผู้ใหญ่จิตอาสา

วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙  CADL ได้รับโอกาสและการสนับสนุนจากมูลนิธิสยามกัมมาจล ให้เข้าร่วมเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการ "การถอดบทเรียนเพื่อการเรียนรู้และเสริมพลัง" ผมตีความว่า นี่เป็นความพยายามของ มูลนิธิฯ ที่จะเพิ่มอัตราของการพูนพลังครูเพื่อศิษย์ โดยเฉพาะครูเพื่อศิษย์จิตอาสา ที่ดูเหมือนจะเป็น "หัทยปัจจัย" ในการปฏิรูปการศึกษา ตามเจตนาของผู้หลักผู้ใหญ่จิตอาสาที่มาร่วมด้วยเพื่อช่วยยกระดับของการเรียนรู้และมาร่วมเสริมพลังครู
 


กระบวนการเรียนรู้และเสริมพลัง

๐) เริ่มด้วยการรวบรวมสมาธิ เตรียมความพร้อมภายใน ด้วยการนำสแกนกายส่วนต่างๆ 
๑) กระบวนทางการเริ่มเมื่อคุณปริ๋ม (พิธีกรวงใหญ่) จับไมค์แนะนำผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มาเป็นวิทยากรวันนี้ ได้แก่ ศ.นพ.วิจารณ์  รศ.ประภาภัทร รศ.ดร.สุธีระ รศ.ไพโรจน์ ครูใหญ่วิเชียร ดร.เจือจันทร์ ดร.เลขา คุณณัฐรส ครูปราชญ์และครูใหม่จากเพลินพัฒนา คุณประสาน และคุณเปา แล้วแนะนำเครือข่ายภาคี ก่อนเชิญพิธีกล่าวเปิดงานโดย ศาสตราจารย์หมอวิจารณ์

 

ท่านบอกว่า การปลดลดหนี้ครูจะไม่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษา แนวทางที่เราทำกันมานี้เป็นความหวังและอนาคตของการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถูก คือการเสริมพลังให้กับครูเพื่อศิษย์ 

๒) เรียนรู้จากครูต้นเรื่อง  ขั้นตอนนี้คือการเปิดวีดีทัศน์ครูต้นเรื่อง ครูสัญญา สอนบุญทอง (คลิกดูด้านล่าง)


ครูสัญญาได้รับการเลี้ยงดูอย่างเข้มงวด มีระเบียบวินัยและความรับผิดชอบสูง และชอบช่วยเหลือคน ต่อมาโตขึ้นเป็นรับราชการเป็นทหาร เมื่อมีโอกาสได้ไปเห็นบริบทปัญหา (รศ.สุธีระ ท่านเรียก "บริบทพิเศษ") จึงเกิดการจุดระเบิดของ "ครูเพื่อศิษย์" ครูสัญญา สอนบุญทอง ครูเจ้าฟ้าฯ ปี ๕ ท่านนี้

สิ่งที่ครูสัญญาบอกว่า สิ่งที่ท่านทำคือ ทำให้นักเรียนมี "ความกล้า" วิธีการคือ ทำให้อ่านออก เขียนได้ และทำได้ด้วยตนเอง เด็กที่ทำได้ก็จะเกิดความกล้า ความกล้าจะเป็นที่มาของการเรียนรู้ด้วยตนเอง...

สิ่งที่ผมได้เรียนรู้และจะนำมาใช้หลังจากดูวีดีทัศน์ คือ รูปแบบการนำเสนอวีดีทัศน์ ที่ให้ครูเป็นผู้เล่าเรื่อง และเดินเรื่อง ด้วยการเริ่มจาก บริบทของพื้นฐาน -> ปัญหานักเรียน -> กระบวนการหรือวิธีการ ->จบด้วยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น โดยแทรกกรณีตัวอย่างของแต่ละเรื่องตามสมควร

 ๓) คำถามเพื่อการเรียนรู้และเสริมพลัง

รศ.ดร.ประภาภัทร นิยม และอาจารย์ณัฐรส วังวิญญู ออกมาเป็น "คุณอำนวย" ท่านทั้งสอง พูดใส่ไมค์แบบไม่มีสคลิป  ผ่อนคลาย ชวนให้ทุกคนทดลองตั้งคำถาม จากนั้นผู้ทรงทุกคนก็ทยอยบอกคำถามของตนออกไมค์ 

ที่น่าสนใจที่สุดคือ   กระบวนการที่ให้ "ระดมตั้งคำถาม" โดยที่ยังไม่ให้ครูต้นเรื่องตอบ  วิธีการนี้น่าจะนำไปใช้ในการฝึกตน ฝึกครู หรือฝึกนักเรียน ในการตั้งคำถามได้ดี  โดยเฉพาะถ้ามีคำถามจากผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมแบบนี้  ต่อไปนี้เป็นคำถามที่ประทับใจ เลยทำให้จำได้

  • ทำไมถึงทำแบบนั้นได้ .....    เมื่อผมฟังคำถามนี้  ใจผมบอกว่าต้องเติมคำเข้าไปว่า  ทำไมถึงมีความสุขกับการทำแบบนั้น 
  • บริบทปัจจัยอะไร ที่ทำให้ตัดสินใจทำแบบนั้น ..... 
  • คุณค่าของการทำสิ่งนี้คืออะไร  คุณค่าของ... อยู่ที่ไหน 
  • อะไรที่ท่านได้เรียนรู้มากที่สุดตลอดระยะเวลาที่ทำมา 
  • หากย้อนเวลากลับไปได้... อะไรที่จะไม่ทำอีก 
  • หากย้อนเวลากลับไปได้... สิ่งได้ที่จะไม่ทำอีก แต่จะไม่มีวันลืม  
  • หากย้อนเวลากลับไปได้... อะไรที่จะทำอีก หรือจะทำอย่างไรให้ดีขึ้นอีก 
  • มีใครบ้างที่มีส่วนสำคัญในความสำเร็จ  อะไรคือปัจจัยของความสำเร็จ 
  • เริ่มต้นทำสิ่งนั้นตอนไหน อะไรคือจุดเริ่มต้น 
  • เคยท้อแท้หรือไม่ และทำอย่างไรเมื่อท้อแท้ 
  • ฯลฯ 
สรุปตอนท้าย อาจารย์ประภาภัทร และอาจารย์ณัฐรส แบ่งประเภทของคำถามออกเป็น  ๓ หมวด คือ  ๑) คำถามประเภทที่ทำให้ใคร่ครวญถึง "คุณค่า" เกี่ยวกับ "ศรัทธา ไมตรี" ที่จะสะท้อนถึงกัลยาณมิตร เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ซึ่งมักเป็นคำถาม "ทำไม" ที่ต้องใช้เหตุและผลในการอธิบาย   ๒) คำถามถึงการกระทำหรือกระบวนการ ซึ่งมักมีคำถามหลักว่า "อย่างไร" "เมื่อไหร่" และ ๓) คำถามถึงผลลัพธ์หรือการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่คุณครูทำแล้ว ซึ่งมักใช้คำถามว่า "อะไร" เช่น "เกิดอะไรขึ้นบ้าง" หรือ "ได้อะไร" ฯลฯ 

จะสังเกตว่า การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้  คำถามส่วนใหญ่เป็นประเภท "คุณค่า" และ "ผลลัพธ์" โดยเฉพาะคำถาม "ทำไม" ที่มุ่งตรงสู่การใครครวญด้วยใจ  โดยมุ่งผลไปที่การ "เสริมพลังใจ" ของครูต้นเรื่อง ... ผมตีความว่า นี่คือจุดมุ่งหมายหลักของการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ และเป็นประเด็นเดียวกับที่คุณเปา บอกว่า อยากให้มีการถอดบทเรียนที่ "ลุ่มลึก" มากขึ้น

๔) เรียนรู้จากคำตอบของครูต้นเรื่อง

หลังจากสรุปการเรียนรู้จากการ "ตั้งคำถาม"  อาจารย์ประภาภัทร ได้เปิดโอกาสให้ครูต้นเรื่องเลือกตอบคำถาม โดยไม่จำเป็นต้องตอบทุกข้อคำถาม แต่ให้ตอบตามอัธยาศัยเท่าที่จำได้ ... ครูสัญญาบอกว่า ท่านสามารถตอบได้ทุกคำถาม  แต่ขอใช้วิธีเล่าเรื่อง "เรื่องเล่า" เพื่อแลกเปลี่ยนจะดีกว่า ....

ศ.นพ.วิจารณ์  ลุกขึ้นชมเชยและเน้นให้เห็นว่า การตอบคำถาม แบบเล่าเรื่องจริง หรือเน้นฐานการปฏิบัติของครูสัญญาเป็นวิธีที่จะทำให้ปัญญากับคนฟังได้มาก โดยหลังจากฟังแล้ว ก็ให้แต่ละคนในวงได้ "ตีความ" ในความหมายที่ตนเข้าใจ สะท้อนแลกเปลี่ยนกันไปมา

๕)  ปฏิบัติการ "ถอดบทเรียน"

หลังเบรคเช้า เป็นการแบ่งกลุ่มย่อยให้แต่ละกลุ่มได้ฝึกปฏิบัติการ "ถอดบทเรียนเพื่อการเรียนรู้และเสริมพลัง"  โดยมุ่งฝึกฝนคนที่จะไทำหน้าที่ "ฟาครู" ที่แต่ภาคีส่งมา  และมีผูทรงคุณวุฒิคอยสะท้อนและป้อนกลับเพื่อยกระดับความเข้าใจ และมีคุณลิขิตมาช่วยจับประเด็นอีก ๒ ท่าน

เทนนิคที่วางไว้คือ จัดให้แต่ละกลุ่มย่อยมีครูต้นเรื่อง ๒ คน และกำหนดเวลาให้ ๒ ช่วง คือหลังเบรคเช้าและช่วงหลังทานข้าวเที่ยง  เพื่อเปิดโอกาสให้แต่ละกลุ่มย่อยได้สะท้อน BAR หรือ AAR และสังเกตการพัฒนาของแต่ละกลุ่ม



๖) ให้สะท้อนการเรียนรู้

กิจกรรมสุดท้ายเป็นการให้แต่ละกลุ่มย่อย ออกไปเสนอบทสะท้อนแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างกลุ่มย่อย คือ ๑) คุณค่าของงานครูต้นเรื่อง และ ๒) มีข้อเรียนรู้อย่างไรในการตั้งคำถามเพื่อการเรียนรู้แลเสริมพลัง โดยกำหนดให้ตัวแทน ออกมานำเสนอ แล้วให้ผู้ทรงคุณวุฒิสะท้อนเพิ่มเติม

ผมตีความว่า ที่กำหนด ๒ ประเด็นนี้ เพราะมูลนิธิฯ อยากประเมินว่า กิจกรรมที่ทำตลอดวันในวันนี้ ทำให้ภาคีเข้าใจการถอดบทเรียนเพื่อหา "คุณค่า" หรือ Value ของครูต้นเรื่องได้หรือไม่  และสามารถจับหลักในการใช้คำถามได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร




เรากำลังทำอะไร มั่นใจไหมว่าจะสำเร็จ

จากการเรียนรู้วันนี้ ผมตีความว่า.....

๑) ยุทธศาสตร์ของมูลนิธิฯ คือ  การพูนพลังคนที่จะไปพูนพลังครู  โดยการมุ่งสร้างคนในเครือข่ายภาคีให้มีศรัทธา+ไมตรี+วิธี และ+เครื่องมือ ในการไปพูนพลังครูในพื้นที่ โดยมูลนิธิฯ จะทำบทบาท หนุน แบก แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเผยแพร่ยกย่องเชิดชูครูผู้มีพลังพูนเต็มหัวใจ

๒) วิธีการของมูลนิธิฯ คือ ใช้การจัดการความรู้แบบอินไซด์ (KM Inside) มาสาธิตแบบมีส่วนร่วมให้กลุ่มคนภาคีดู ว่า วิธีการ "พูนพลังครู" นั้นทำอย่างไร โดยเครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่ต้องใช้คือ "การถอดบทเรียนเพื่อการเรียนรู้และเสริมพลัง"

ต้องใส่ใจ ๒ คำนี้ แยกกัน  คำแรกคือ "เพื่อเรียนรู้" ซึ่งครูหรือคนส่วนใหญ่ จะเรียนสิ่งใหม่ๆ ด้วยการ "ฟัง+คิด" เท่านั้น ไม่เข้าถึงการ "+รู้ขณะจิตใจ" ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการ "เสริมพลัง" (อย่างยังยืน)

อีกมุมหนึ่งที่ต้องใส่ใจ ของคำว่า "เสริมพลัง"  คือ วิธีนั้นเป็นการเสริมพลังแบบชั่วคราว  ใจพองโตไม่นาน ไม่มีเงินงานก็ไม่มี หรือ จะเป็นวิธีที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงภายในได้อย่างอย่างยืนแบบ "ตื่นรู้"

๓) สมมติฐานของมูลนิธิฯ คือ หากค้นพบครูต้นเรื่องที่เหมือนเทียนที่ยังไม่มอดหมดไป แล้วใช้การถอดบทเรียนและเสริมพลังใจครูเพื่อศิษย์ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบสะท้อนตีความป้อนกลับ  จะทำให้ครูมั่นใจขึ้น ภูมิใจขึ้น เป็นเหมือนเชื้อฟืนเอามาต่อไฟ  และถ้าต่างภาคีต่างทำ ต่างคนต่างทำ ก็จะกลายเป็นกองไฟใหญ่ที่ให้แสงและพลังงานต่อไป

๔) มูลนิธิฯ อยากให้แต่ภาคีพูนพลังครู  มี "คุณอำนวย"  ที่ขับเคลื่อนการเรียนรู้ หรือทำ "ฟาครูได้ถึงขั้น "เสริมพลัง" มี "คุณเอื้อ" ที่ต่อเนื่องและมีบารมี (เช่นหัวหน้าภาคีเครือข่าย) มี "คุณกิจ" เป็นครูเพื่อศิษย์ต้นเรื่อง  และมี "ผูู้หนุนนำ" ทำให้ครูต้นเรื่องประสบความสำเร็จ  ... อาจคิดว่าเป็นผู้บริหารโรงเรียนซึ่งพบเจอในหลายกรณี  แต่ผมคิดว่ามีหลายกรณีเหมือนกันที่ ครูเพื่อศิษย์นั้นคิดทำและต่อสู้ด้วยจิตวิญญาณภายในของครูเองลำพัง

๕) คำถามคือ สิ่งที่มูลนิธิฯ กำลังทำในโครงการ "พูนพลังครู" คือเสริมพลังใคร?  คำตอบคือเสริมพลังครูต้นเรื่องใช่ไหม?  เมื่อพบครูต้นเรื่องแล้ว หน้าที่การขยายผลของความสำเร็จออกไปเป็นบทบาทของใคร ด้วยวิธีใด?  .... หากจะหวังให้ขยายผลออกไปด้วยการผลิตสื่อให้อ่าน ผมคิดว่าในกาลนี้ ยังไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด

ขอสะท้อนตอนท้ายเชิงวิพากษ์ว่า การศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม เป็นส่วนผลึกของอารยธรรมฐานของแต่พื้นที่ ดังนั้น การปฏิรูปการศึกษาที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานของวัฒนธรรมของคนไทยในแต่ละพื้นที่ ย่อมมีประสิทธิผลที่จำกัด เช่น 
๑) สังคมไทยไม่อ่าน คนอ่านมีน้อย แต่คนไทยชอบคุยชอบเล่าเรื่อง ดังนั้น การทำ PLC บนพื้นฐานการคุย จะได้ผลดีกว่าการตีพิมพ์ให้อ่าน 
๒) คนไทยยึดถือตัวบุคคล น้อบน้อม เมตตา อุปถ้มภ์ ดังนั้น วิธีการขยายผลที่ดี คือค้นหาคนดี ครูดี แล้วสนับสนุนให้ครูดีนั้นขยายผลอย่างเต็มที่ด้วยวิธีของตนและคนในพื้นที่
๓) วิธีทำงานแบบ KPI แบบโครงการและรายงานประจำปี  มีดีเพียงแค่การบอกผู้บริหารว่าได้ทำ และนำไปประกอบพิจารณาผลตอบแทน 
จบเท่านี้ครับ