หลายวันก่อนครูตุ๋มส่งต้นฉบับที่ท่านเขียนให้ผมช่วยอ่าน ... แม้ว่าผมจะพอเข้าใจกระบวนการและงานของครูตุ๋มดี(แน่นอนว่าไม่ทั้งหมด) แต่ไม่สามารถจะให้ความเห็นใดได้เลย เพราะที่ครูตุ๋มเขียนมานั้น ส่วนใหญ่เป็นภาษาใจและภาษานักปฏิบัติ (ภาษาพูดกึ่งเขียน) ซึ่งถ่ายทอดออกมาจากประสบการณ์ตรงของท่านอยู่แล้ว ... ถ้าใครอ่านเป็น เว้นวรรคตอนในใจได้ถูก นอกจากจะเข้าใจแล้ว ยังจะสามารถสัมผัสถึงปรัชญาและศรัทธาในใจผู้เขียนด้วย ... ผมจึงคิดว่าไม่น่าจะไปแก้ไขอะไรมาก ควรจะส่งไปให้ทีมบรรณาธิการอ่านและคักกรองเกลาเอาตามต้องการจะดีกว่า
แต่ประเด็นสำคัญที่ผมสนใจคือ ทำไม ศ.นพ.วิจารณ์ ท่านจึง แนะนำให้ครูตุ๋มได้ลองเขียนประสบการณ์ฯ งานนี้ดู ... มีทางเดียวที่ผมจะได้คำตอบ คือ ผมต้องอ่านร่างต้นฉบับหนึ่งสือที่ทางมูลนิธิฯ ส่งมาให้ครูตุ๋ม ความจริงมีอยู่แล้วในบันทึก ๑๐ ตอน ชื่อ "วิจัยในชั้นเรียนเปลี่ยนครู" ที่ท่านเผยแพร่แล้ว (คลิกอ่านที่นี่ครับ) ซึ่งท่านตีความจากการอ่านหนังสือถอดบทเรียนตนเองของครูในประเทศไอร์แลนด์ ๔ คน ... ผมอ่านและตีความซ้อนอีกทีเพื่อให้ตนเองเข้าใจ และเผื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับครูเพื่อศิษย์ที่จะจับเอาเฉพาะประเด็นสำคัญ ๆ
การอ่านแบบสแกนครั้งแรกของผม ไม่มีอะไรสะดุดใจให้อ่านละเอียด แม้ท่านจะบอกว่า หนังสือเล่มนี้อ่านแล้ววางไม่ลง (เพราะท่านอ่านแล้ววางไม่ลงนับไม่ถ้วนในจำนวนหนังสือนับไม่ถ้วนที่ท่านอ่านและตีความ) แต่เมื่อจำต้องอ่านละเอียด ผมกลับได้เรียนรู้สิ่งที่มีคุณค่ามากในชีวิตการทำงานเป็นอาจารย์สอนของตนเองด้วย ...
ประเภทของการวิจัย
- ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ แบ่งการวิจัยออกเป็น ๓ ประเภท ได้แก่
- วิจัยเชิงทดลอง (empirical research) คือ การวิจัยโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ทั่วไป ได้แก่ กำหนดปัญหา ตั้งสมมติฐานทดลอง/ทดสอบสมมติฐาน และสรุปผล ซึ่งวิธีการหลักที่ทำให้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเจริญเท่าทุกวันนี้ การวิจัยแบบนี้เป็นการค้นหาความจริงบนฐานคิดว่า ต้องสามารถพิสูจน์ได้ พิสูจน์ซ้ำได้ และสามารถนำไปใช้กับคนอื่นได้ ลักษณะและข้อจำกัดของการวิจัยแบบนี้ต่อการนำมาพัฒนาผู้เรียน ได้แก่
- ผู้วิจัยต้องเป็น "คนนอก" เป็นผู้สังเกตอย่างไม่มีอคติ
- การเขียนรายงานของวิจัยแบบนี้ จึงต้องใช้คำสรรพนามบุรุษที่ ๓ ห้ามใช้บุรุษที่ ๑ โดยเด็ดขาด
- การวิจัยเชิงทดลองนี้จึงเหมาะสมกับการวิจัย "เพื่อรู้" ไม่ใช่เพื่อนำไป "ปฏิบัติ"
- การวิจัยเชิงทดลองนี้จึงไม่มีส่วนหรือ "ไม่ช่วย" ให้เกิดองค์ความรู้ของวิชาชีพครู
- ทั้งครูและนักเรียนไม่ใช่สิ่งของที่มีลักษณะแน่นอนตายตัวหรือคงที่ การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จึงไม่เหมาะกับการวิจัยแบบนี้
- การวิจัยแนวตีความ (Interpretive Research) คือ การวิจัยโดยการทำตัวเป็นนักทฤษฎี ศึกษาปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมแล้วเข้าไปตีความ อธิบาย และให้คุณค่าต่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น มีลักษณะและข้อจำกัดต่อการพัฒนาการเรียนรู้ของคน ดังนี้
- ผู้วิจัยสามารถเป็นทั้ง "คนนอก" เป็นผู้สังเกตผู้วิจัย ผู้ตีความ และเป็น "คนใน" คือเป็นครูเป็นผู้ปฏิบัติ แต่จะไม่สามารถจะเป็นได้ในเวลาเดียวกันได้ ทำให้ต้องมีทีมหรือกระบวนการประเมินแบบร่วมมือ (เช่น PLC)
- ข้อมูลจากห้องเรียน เช่น พฤติกรรมของนักเรียน พฤติกรรมต่อเพื่อนและต่อครู สามารถนำมาตีความหาความหมายได้อย่างดี และส่งผลให้เกิดการพัฒนาการคิดอย่างมืออาชีพของครู แต่มีผลในเชิงความคิดหรือทฤษฎีเท่านั้น ไม่มีผลทางการปฏิบัติ
- การวิจัยแบบตีความจะช่วยให้ครูเชื่อมโยงทฤษฎีกับความรู้เชิงปฏิบัติเข้าหาตนได้ และที่สำคัญที่สุดคือ จะทำให้ครูสามารถสร้างความรู้ขึ้นใช้เองได้
- แต่คุณค่าของการวิจัยแนวตีความไม่ได้มุ่งไปสู่การปรับปรุงการปฏิบัติโดยตรง นักเรียนไม่ได้เป็นผู้ร่วมวิจัย จึงยังไม่ใช่การวิจัยที่เอานักเรียนเป็นศูนย์กลาง
- การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) คือ งานวิจัยที่ผู้วิจัยคือผู้ปฏิบัติ มีนิยามความหมายหลากหลายกว้างขวาง (เขาแนะนำที่นี่) ผู้เขียนหนังสือนี้ให้นิยามว่า "การปฏิบัติเพื่อค้นหาสิ่งที่ไม่รู้ ซึ่งนำไปสู่การปรับปรุงงาน" ซึ่งมีลักษณะและข้อดี ดังนี้ ...
- ผู้วิจัยคือ "คนใน" คือคนปฏิบัติ มุ่งเป้าเพื่อพัฒนาการปฏิบัติการสอนในบริบทของตนเอง เป็นการสร้างทฤษฎีที่่ใช้ได้จำเพาะบริบทเท่านั้น
- ให้ความสำคัญที่สุดกับข้อมูลเชิงคุณภาพ ข้อมูลปฐมภูมิที่ครูเก็บได้ และเก็บไว้อย่างเป็นระบบ เอื้อต่อการนำออกเผยแพร่ต่อนักเรียนหรือเพื่อนครูได้ง่าย ข้อมูลเหล่านี้มีความซับซ้อนมากและมีจำนวนมาก เช่น
- แฟ้มสะสมงานของนักเรียนแต่ละคน
- บันทึกการเรียนเข้าร่วมกิจกรรมและการมาเรียนของนักเรียน
- เอกสารเช็คลิสท์แสดงผลสัมฤทธิ์รายวัตถุประสงค์
- บันทึกการสอน
- ภาพ ภาพถ่าย
- วีดีทัศน์
- ใบแสดงผลการศึกษา
- แบบสอบถาม
- บันทึกการพูดคุย
- บันทึกเหตุการณ์เฉพาะเรื่อง
- reflective journal (ผมตีความว่า อันนี้คือนวัตกรรมของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้)
- บันทึกการสอบทานกับเพื่อนครูและกัลยาณมิตร
- ผลการประเมินตนเองและการประเมินโดยเพื่อนครู
- กระดาษข้อสอบ
- ฯลฯ
- การทำวิจัยเชิงปฏิบัติการ ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้หรือทฤษฎีอย่างเป็นระบบ แต่ใช้ความรู้เชิงปัญญาญาณ (intuitive knowledge) คือรู้เองเห็นเอง ซึ่งจะนำไปสู่ "ปัญญาปฏิบัติ" (Phronesis) ซึ่งเป็นความรู้จากการปฏิบัติ และจะทำให้เกิดทฤษฎีใหม่ของตนเองได้ ... ตัวอย่างที่ชัดมากๆ ก็คือกรณีครูตุ๋มนี่เองครับ
คำว่าวิจัยเชิงปฏิบัติการ คนไทย(ครูไทย) รู้จักกันมานานมากแล้วในชื่อ "การวิจัยในชั้นเรียน" และดูเหมือนจะ "ไม่สำเร็จ" ในการขับเคลื่อนสู่ครูไทยด้วย เพราะการจัดการเรียนรู้ระดับ ป.โท ที่ผมพอทราบนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำวิจัยแบบนี้ เน้นไปทำวิจัยแบบ R&D ที่จบง่ายกว่า (ทำง่ายกว่า ตีพิมพ์ง่ายกว่า) ก่อนอ่านร่างต้นฉบับหนังสือนี้ ผมสงสัยว่า ความพิเศษอะไรในกระบวนการวิจัยของครูผู้เขียนชาวไอร์แลนด์ ๔ คนนั้น ที่ทำให้ท่าน (ศ.นพ.วิจารณ์) ถึงกับตั้งความหวังว่า หนังสือรวมเล่มนี้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับครูละกระบวนการพัฒนาครูได้ ... ผมตีความตอบตนเองดังนี้ว่า
- การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ ยกตัวครูผู้วิจัยเป็นผู้ถูกวิจัยด้วย (อันนี้พิเศษกว่าการวิจัยในชั้นเรียนที่เข้าใจกันทั่วไป) ท่า่นใช้คำว่า ่"การวิจัยปฏิบัติการศึกษาตนเอง" (self-study action research)... ขอเรียกสั้นๆ ว่า "การวิจัยสงสัยตนเอง" หรือ "การวิจัยใคร่ครวญตนเอง"
- โดยยึดหลักว่า ความรู้เกิดขึ้นที่ผู้เรียนหรือที่ตนเองเท่านั้น นักเรียนเป็นผู้สร้างความรู้ (constuctivism) นักเรียนร่วมกันสร้างสความหมายของสิ่งต่างๆ ของกิจกรรมต่างๆ
- การวิจัยแบบใคร่ครวญตนเองนี้ มีหลักการและวิธีการเด่นๆ ดังนี้
- ใคร่ครวญให้ลุ่มลึกถึงระดับคุณค่าของการศึกษา (epistemological values) และคุณค่าด้านการมองความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคมหรือตนเองกับผู้อื่น (ontological values)
- epistemological value คือ มุมมองต่อความรู้ การสร้างความรู้ และการรับความรู้
- ontological value คือ มุมมองด้านธรรมชาติของสรรพสิ่ง ด้านการรู้จักตนเองว่าเป็นเพียงส่วนย่อยในภาพรวม และความเข้าใจด้านความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับผู้อื่น
- ใคร่ครวญด้วยการตั้งคำถามของตนเอง ตั้งคำถามกับตนเองเพื่อตนเองได้ใครครวญสะท้อนคิดอย่างลึกซึ้งจริงจัง (critical reflection) เช่น ทำไมเราจึงทำอย่างที่ปฏิบัติอยู่ และจะเรียนรู้เพื่อทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างไร ฯลฯ ... นี่คือเครื่องมือหลักและวิธีการหลักของครู ๔ คนผู้ประสบผลสำเร็จนี้
- การใคร่ครวญสะท้อนคิดไปเรื่อยๆ ทำให้ครูค้นพบปัจจัยสู่ความเป็นครูมือาชีพ ๕ ประการ คือ
- การใคร่ครวญสะท้อนคิด
- ความมีใจเปิดรับ (open-mindedness)
- การเทใจ (whole-heartedness) ... คงหมายถึงการทุ่มเททั้งหัวใจ
- ความรับผิดชอบทางปัญญา (intellecutal responsibility)... น่าจะตรงกับจิตวิญญาณความเป็นครูของเรา
- ความสนใจใคร่ครูทางปัญญา (intellectual integrity) ... น่าจะหมายถึงความใฝ่รู้ใฝ่เรียน
- สิ่งที่ครูเปลี่ยนไปหลังจากทำวิจัยแบบใคร่ครวญตนเองนี้ ได้แก่
- เปลี่ยนจากพูดคนเดียว (monolouge) ไปเป็นพูดกันทั้งห้อง (dialogue) คือเปลี่ยนไปเป็นการเสวนา สนทนากันในห้องเรียน ...มีงานวิจัยชี้ว่า ๒ ใน ๓ ของเวลาในชั้นเรียน ครูเป็นผู้พูด และ ๒ ใน ๓ ของคำถามที่ครูถามเป็นคำถามปลายปิด
- นักเรียนร่วมสร้างความรู้ (co-construct)
- นักเรียนที่เป็นคนช่างพูด ทำหน้าที่ scaffolding (สรุปความ) ซึ่งจะช่วยให้คนไม่ช่างพูดเรียนรู้วิธีการเรียงถ้อยคำพูดออกมาได้
- ทำให้การประเมินสะท้อนสภาพจริงมากขึ้น แทนที่จะใช้การเขียนอย่างเดียว
- เกิดความหมายและความแตกต่างที่หลากหลายมาก
- ครูได้ฝึกตั้งคำถาม ... ซึ่งช่วยให้เกิดทักษะการคิดอย่างลึกซึ้ง (critical thinking)
- ครูเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับ "ความรู้" และ "การรู้" ของนักเรียนในมุมมองใหม่ๆ
- ครูได้เปิดมุมมองของการเรียนรู้ในโรงเรียนที่ซับซ้อนขึ้น
- เปลี่ยนจากสอนโดยการถ่ายทอด "ครูบอก ครูสอน" ไปเป็น "ครูฝึก" "ครูอำนวยการเรียนรู้"
- เปลี่ยนจากห้องสอน (didactic classroom) ไปเป็นห้องแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (dialogic classroom)
- เปลี่ยนจากการ "ควบคุม" ห้องเรียน ไปสู่การ "อิสรภาพ" "ความเป็นธรรม" "ความเอื้ออาทร" และ "ความคิดสร้างสรรค์" โดยใช้กิจกรรมหรือโอกาส เอื้อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้
ข้อสังเกตก่อนจะตีความหรือวิพากษ์
- ครูผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ มาเป็นครูตอนอายุ ๑๙ ในปี ๑๙๗๐ สอนตามแนวทาง "ถ่ายทอดความรู้" อยู่ในระบบถึง ๒๐ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นครูแนวส่งเสริมให้นักเรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง
- ครูผู้เขียนบอกว่า สิ่งที่ทำให้ตนเองเปลี่ยนแปลงคือ การกลายมาเป็นนักคิดอย่างจริงจัง (critical thinker) สิ่งที่ทำให้ท่านพัฒนาทักษะการคิดนี้คือ การตั้งคำถามให้ตนเองใคร่ครวญ เช่น
- ในความเห็นของฉัน จุดเด่นที่สุดด้านการทำหน้าที่ครูของฉันคืออะไร
- อะไรคือสาเหตที่ทำให้ฉันไม่พอใจกับการสอนของตนเอง หรือเป็นสาเหตุให้ฉันต้องปรับปรุงการสอนของตน
- ฉันคิดเรื่องการสอนในฐานะวิชาชีพตลอดชีวิตของตนอย่างไร ฉันเชื่อว่าฉันกำลังเป็นครูที่ดีอยู่หรือไม่
- ใครเป็นผู้พูดส่วนใหญ่ มีการพูดจากนักเรียนแค่ไหน ความแตกต่างระหว่างสนุทรียสนทนา (dialogue) กับการถามแบบมีคำอธิบายแตกต่างกันอย่างไร
- นักเรียนมีบทบาทในการตัดสินใจในห้องเรียนหรือโรงเรียนแค่ไหน เสียงของนักเรียนได้รับการฟังบ่อยไหม ข้อเสนอของนักเรียนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแค่ไหน
- ฉันมีวิธีตั้งคำถามในชั้นเรียนแบบไหน ฉันให้ feedback กับนักเรียนอย่างไร เป็นไปได้ไหมว่าฉันจะให้เวลานักเรียนคิด
- นักเรียนตอบคำถามตามที่ครูอยากจะได้ยิน หรือตอบคำถามตามที่ตนคิด
- ทำไมฉันจึงค้างคาใจในสิ่งนี้
- ทำไมฉันจึงทำสิ่งนี้ทุกวัน
- ฉันได้เรียนรู้จากกิจกรรมเหล่านั้นอย่างไร
- คุณค่าของสิ่งนี้คืออะไร
- คุณค่าของสิ่งนี้สำหรับนักเรียนคืออะไร สำหรับฉันคืออะไร สำหรับโรงเรียนคืออะไร
- คุณค่าของความเอื้ออาทรสะท้อนมากับนโยบายและแนวปฏิบัติของโรงเรียนอย่างไร
- ฉันจัดให้นักเรียนแบบไหนเป็น "นักเรียนเรียนดี"
- ฉันมองความรู้เป็นผลผลิต (product) หรือเป็นกระบวนการ (process)
- ฯลฯ
- ครูผู้เขียนบอกว่า สิ่งที่สร้างให้ตนเองมีแรงบันดาลใจที่จะเปลี่ยแปลงมาจากการอ่าน อ่านหนังสือด้านการศึกษาดีๆ จำนวนมาก ... (ผมตีความว่า ถูกบังคับให้อ่านเพราะต้องเรียนให้จบปริญญาโท)
- มีงานวิจัยชี้ว่า
- ครูระดับประถมศึกษาในอังกฤษอ่านหนังสือวิชาการครูน้อยมาก
- ครูที่ออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา ไม่อ่านหนังสือวิชาการด้านการศึกษา
- หลังจากผ่านไป ๒๐ ปี ครูผู้เขียนเริ่มรู้สึกถึงค่านิยมต่อการศึกษาที่แตกต่างจากเดิม และค่อยๆ เกิดความขัดแย้งรุนแรง กลายเป็นความอึดอัด จึงหาทางออกโดยให้นักเรียนใช้อินเตอร์เน็ตและมัลติมิเดียสื่อสารกับนักเรียนอื่นและตนเองก็เริ่มสื่อสารกับเพื่อนครูท่านอื่นด้วยเว็บเพจและอีเมล์ โดยที่ตอนนั้นก็ยังไม่แก่กล้าพอที่จะตั้งคำถามว่า ทำไมฉันถึงสอนแบบนี้
- สังเกตว่า ครูผู้เขียนสังเกต (ระลึกรู้) ถึงความ "อึดอัด" ของตนเองเป็นจุดเริ่มของการเปลี่ยน โดยใช้วิธีการคลีคลายความอึดอัดนั้นด้วยการค้นหาคำตอบให้ตนเอง โดนเริ่มจากการตั้งคำถาม
- เครื่องมือสำคัญที่ทำให้ครูผู้เขียนยกระดับความรู้ความเข้าใจของตนเองมากๆ ก็คือ การเขียน refletive journal คือ การเขียนไดอารี่บันทึกการคิดของตนเองแล้วนำกลับมาอ่านใคร่ครวญบ่อยๆ
- ในช่วงแรกของการเปลี่ยนแปลงการสอน ครูผู้เขียนเกิดความกังวลมาก กังวลต่อความศึกษานิเทศก์ถ้าสอนไม่ครบตามหลักสูตร นักเรียนบางคนก็ไม่ให้ความร่วมมือ นักเรียนส่วนใหญ่ก็เงียบ จนเกิดความท้อ แต่ไม่ถอยเนื่องจากเป็นงานเพื่อวิทยานิพนธ์ปริญญาโท
ตีความและวิพากษ์
- ผมตีความว่า ที่ ศ.นพ.วิจารณ์ ท่านประทับใจชี้ให้ขยายผลหนังสือนี้ ด้วยเหตุว่า
- นี่คือตัวอย่างของครูในศตวรรษที่ ๒๑
- นี่คือตัวอย่างความสำเร็จของครูที่ใช้ใคร่ครวญสะท้อนคิด หรือ Reflection ยกระดับทักษะและความรู้ด้านวิชาชีพครู จนสามารถเปลี่ยนแปลงการสอนของตนเองได้... ซึ่งเรื่องนี้ท่านขับเคลื่อนมาตั้งแต่แรกเริ่มก่อนใคร
- นี่คือความสำเร็จของการนำ จิตตปัญญาศึกษา (การเรียนรู้ดวยใจอย่างใคร่ครวญ (contemplative learning)) หรือ การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง (transfomative learning) มาใช้จริงในห้องเรียน และสร้างผลสำเร็จเป็นรูปธรรม
- นี่คือความสำเร็จของครูทีเกิดจากการจัดการความรู้ตนเอง ผ่านการเขียน reflective journal หรือก็คือเขียนบันทึกและอนุทินการเรียนการสอนของตนเอง แล้วนำกลับมาใคร่ครวญบ่อยๆ นั่นเอง ... ผมตีความว่า ท่านเล็งเห็นจุดนี้มานานแล้ว และนี่เป็นที่มาของเว็บไวต์ gotoknow นี้ด้วย
- นี่คือความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงของครูผู้เริ่มที่ตนเอง (ภายใต้ระบบเดิม)..ศ.นพ.วิจารณ์ ย้ำในการตีความของท่านว่า การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนเริ่มที่ตนเองเท่านั้น
- ผมตีความว่า กรณีความสำเร็จนี้แตกต่างจากความสำเร็จของครูตุ๋ม ศิริลักษณ์ ชมภูคำ ดังนี้ครับ
- หากแบ่งจริตของการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองออกเป็น ๓ ฐาน คือฐานกาย ฐานใจ และฐานคิด (ตามทฤษฎีด้านจิตตปัญญาศึกษา) จะพบว่า ครูผู้เขียนนี้พัฒนามาทางด้านฐานคิด ใช้การคิดเป็นทั้งเหตุและผล พัฒนาทั้งตนเองและนักเรียน เป็นทั้งเครื่องมือและกระบวนการ ต่างจากครูตุ๋มที่ใช้ฐานใจ ความรัก ความเมตตา จนก่อให้เกิดความความศรัทธาของเด็กๆ ต่อครู
- ครูผู้เขียนใช้การสะท้อนคิดใคร่ครวญและการเขียนเป็นหลัก แต่ครูตุ๋มมีความเพียรความรักและจิตวิญญาณความเป็นครูเป็นหัวใจ
- ครูผู้เขียนใช้การตั้งคำถามให้ตนเองได้ใคร่ครวญ แต่ครูตุ๋มไม่ได้เน้นการคิดใคร่ครวญ แต่เน้นการรับรู้จากสัมผัส เมตตา และปรารถนาอย่างแรงกล้าให้เด็กๆ อ่านออกเขียนได้ ... หลังจากที่ในปี ๒๕๕๓ พบว่า นักเรียน ป.๖ จำนวน ๒๓ คน อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ถึง ๑๑ คน
- ครูผู้เขียนใช้เงื่อนไขโดยสร้างเงื่อนไขในการพัฒนาเด็กรายบุคคล แต่ครูตุ๋มใช้การเป็นแบบอย่าง ใช้การเป็นต้นแบบให้ได้ใจเด็ก เมื่อเด็กศรัทธา จึงตั้งใจ ถึงตอนนั้นความถนัดในการใช้เรื่องเล่า เล่าเรื่อง อธิบาย อุปมา อุปมัย ด้วยสิ่งใกล้ตัวจึงใช้ได้ผลดีมาก
- ผมตีความว่า เราคงไม่สามารถหาตัวอย่าง BP แบบครูตุ๋มหรือแบบที่เรามีในประเทศเรามี ได้ง่ายนักในวัฒนธรรมของชาวตะวันตก ในทำนองเดียวกัน เราคงจะหา BP แบบครูผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้ง่ายนักในประเทศไทย โดยเฉพาะระดับประถมศึกษา ยกเว้นโรงเรียนในเมืองของครูและผู้ปกครอง "ผู้พร้อม" (ไม่ใช่นักเรียนส่วนใหญ่) ... ผมคิดว่า เราเน้นไปที่ "ความดี" เน้นสร้างเด็กดี มีวินัย ภูมิใจในความเอื้อเฟื้อ แบ่งปันแบบนี้ดีกว่า
- "อ่านออก" "เขียนได้" เหมือนกัน แต่
- "คิดเป็น" อาจจะไม่เหมือนกัน
- ปัจจัยแห่งความสำเร็จที่คลายกันระหว่างครูผู้เขียนกับครูตุ๋ม
- วิธีที่ครูตุ๋มพัฒนาตนเองมา จนประสบความสำเร็จในการพัฒนานักเรียนจิตอาสาและแก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ คือการวิจัยเชิงปฏิบัติการ หรือ Action Reseach แน่อน แต่ไม่อาจจัดเป็น "วิจัยใคร่ครวญตนเอง" (self-study action research) เหมือนกับที่ท่านกล่าวถึง เป็นการวิจัยที่มีลักษณะดังนี้
- เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยเป็น "คนใน" เหมือนกัน ครูคือผู้เห็นปัญหา หาทางแก้ปัญหา จนสามารถกสร้างปัญญาปฏิบัติ (Phronesis) ขึ้น คือ การแก้ปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ด้วยกระบวนการ ๖ ขั้นตอนร่วมกับนักเรียนจิตอาสา ซึ่งหากดูในรายละเอียด จะพบว่าการใช้วิธีการ ๖ ขั้นนั้น แตกต่างไปในรายละเอียดของเด็กแต่ละคนๆ
- เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการที่เน้นเอาปัญหาของนักเรียนรายบุคคลเป็นศูนย์กลางโดยใช้ความใส่ใจ รัก เมตตา ปรารถนาดีเป็นหลัก
- กระบวนการวิจัยอาจแบ่งเป็น ๒ ขั้นสำหรับนักเรียนบกพร่องด้านการเรียนรู้ (นักเรียน LD) คือ ขั้นรักษาใจและการพัฒนาทักษะ
- ขั้นรักษาใจ คือ การปรับพฤติกรรมให้มีเจตคติที่ดีต่อการมาเรียน กับการอ่านออกเขียนได้ นักเรียนหลายคนที่เริ่มต้นไม่ยอมมาเรียน บ้างมาเรียนก็ไม่เข้าห้องเรียน บ้างเข้าห้องเรียนก็ไม่เรียน บางคนต้องใช้เวลาเป็นแรมปีในการรักษาใจให้พร้อมเรียนรู้ได้
- ขั้นพัฒนา คือ การพัฒนาทักษะการอ่านออกเขียนได้ ขั้นนี้เองที่ครูตุ๋มใช้ทักษะการวิจัย จนได้ทฤษฎีบันได ๖ ขั้น ดังที่ได้เผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง
- น่าจะเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบวิถีไทย หรือเรียกสั้นๆ ว่า "วิจัยวิถีไทย" คือ เอาความศรัทธานำ เคารพ นอบน้อม คือใช้การอบรมบ่มนิสัย ให้ก่อน ครูเป็นผู้ให้และทำเป็นแบบอย่าง แล้วลองผิดลองถูกในส่วนรายละเอียดของการปฏิบัติแต่ละคนแต่ละสถานการณ์ (ควรจะเรียกว่าไร้รูปแบบ )
- "การวิจัยวิถีไทย" ครูจะไม่ค่อยได้มาเขียนบันทึกหรือถอดบทเรียนตนเองมากนัก และความสำเร็จในการวิจัยนก็จะฝังอยู่ตัวอยู่ในลักษณ์ ความรู้ฝังลึก (tacit knowledge) ตรงนี้เองที่นักการศึกษาจะต้องมา "ถอดบทเรียน" ... แม้ว่าการถอดบทเรียนจะไม่ใช่ปัจจัยที่มำให้ครูเปลี่ยนโดยตรง แต่ผมมั่นใจว่าเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้ครูตุ๋มมีพลังมากขึ้น ... ต่อไปจะขอเรียกสั้น ๆ ว่า "ถอดบทเรียนเปลี่ยนครู"
- ผมคิดว่าครูไทยน้อกว่าร้อยละ ๑ ที่อ่านผลงานวิชาการด้านการศึกษา การ "ถอดบทเรียน" หรือ "เขียนหนังสือ" ให้ครูอ่านนั้น ได้ผลน้อยมาก
- แต่คนไทย ครูไทย ชอบสนทนา ชอบคุยตามประสาพี่น้อง รักใคร่เอื้อเฟื้อกัน ดังนั้นคือ ต้องสร้างคุณอำนวยการเรียนรู้ (Facilitator) ไปถอดบทเรียน แล้วเอาบทเรียนที่ได้ไปเล่าต่อ บอกต่อ สร้างกันเป็น PLC ต่อไป ... ข้อนี้ผมจะบอกว่า ครูส่วนใหญ่ไม่สามารถจะเริ่มต้นด้วยตนเองได้... ผมอาจคิดผิด ต้องอภัยเพื่อนครูท่านอ่านมาถึงตรงนี้
- จิตวิญญาณความเป็นครู ทำให้ครูตุ๋มมีความสุขเมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของนักเรียน ความสุขของครูเพื่อศิษย์แบบนี้นี่เองที่เป็นปัจจัยให้เกิดจิตใจจะเอาชนะปัญหาและสร้างปัญญาให้กับเด็ก
- สรุปคือต้องบ่มเพาะจิตวิญญาณความเป็นครูและขยายผลการวิจัยวิถีไทยแบบเราไปมากๆ
ขอบคุณภาพจากเฟสครูตุ๋มครับ
