หลังจากที่ได้รับแรงบันดาลใจและคำแนะนำแนวทางการขับเคลื่อนต่อไปจาก ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช (อ่านบันทึกที่ ๑ ที่นี่) เรากลับมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน โดยแบ่งเป็น ๓ กลุ่มย่อย คือ กลุ่มปฐมวัย กลุ่มประถมและมัธยม และกลุ่ม "ฅนค้นครู" คือ ผอ. ศน. ได้ผลสรุปที่น่าสนใจ หลายประเด็น แต่ปีนี้เราไม่ได้คาดหวังการ Show&Share แบบเต็มรูปแบบ จึงจัดเพียงครึ่งวัน ดังนั้นจึงไม่มีเวลาพอที่จะถอดบทเรียนและแลกเปลี่ยนกัน ... ขอสรุปสั้นๆ ไว้ให้เป็นเหตุการระลึกถึง ดังนี้
- กลุ่มที่ ๑ ครูประถมและมัธยม
- ครูเพ็ญศรี ใจกล้า แลกเปลี่ยนเรื่อง โมเดล 3PBL คือ เรียนรู้ในรูปแบบ (Pattern-based) เรียนรู้ด้วยการทำโครงการ (Project-based) และ เรียนรู้โดยใช้การแก้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based)
- ครูอัจฉราวรรณ ภิบาล แลกเปลี่ยนเรื่องการสอนทักษะภาษาอังกฤษ ฟัง พูด อ่าน เขียน โดยให้ทำหนังสั้น โดยเน้นการทำงานเป็นทีม ทั้งระหว่างครูกับนักเรียน และระหว่างนักเรียน
- ครูเพ็ญศรี กานุมาร แลกเปลี่ยนเรื่องการเรียนรู้จากป่าในโรงเรียน เน้นการเรียนรู้พันธุ์โดยบูรณาการระหว่างโรงเรียนและชุมชนผ่านปราชญชาวบ้าน ผ่านรายวิชาวิทยาศาสตร์
- ครูจีระนันท์ จันทยุทธ แลกเปลี่ยนเรียนรู้นอกห้องเรียน วิถีชีวิตในท้องถิ่น โดยให้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ที่เน้นการลงมือปฏิบัติ พัฒนานักทักษะการนำตนเองของนักเรียน
- ครูวรารัตน์ แลกเปลี่ยนการจัดการเรียนรู้มุ่งให้เกิดทักษะชีวิตสู่อาชีพในท้องถิ่น โดยบูรณาการทุกรายวิชา ด้วยการสอนแบบ PBL ในช่วงเวลาลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ และเน้นกระบวนการคิดสร้างสรรค์
- ครูกรรณิการ์ แลกเปลี่ยนเทคนิคการแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ด้วยความรักความเมตตา ดูแลเด็กรายบุคคล เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญจริงๆ และนำเอากระบวนการ ๖ ขั้นของครูตุ๋มไปใช้
- ครูสุรียนต์ ฉิมพลี แลกเปลี่ยนการจัดการเรียนรู้แบบไร้รูปแบบ หลากหลายรูปแบบ บูรณาการทุกรายวิชา เน้นสร้างห้องเรียนแห่งความสุข
- ครูปราณี จงจอหอ แลกเปลี่ยนการสอนภาษาไทยด้วยเพลง เกมส์ และนิทาน (น่าจะเคยถอดบทเรียนท่านไว้แล้วครั้งหนึ่ง สู้ต่อนะครับอาจารย์)
- ครูพัชรา แลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการสอนภาษาไทยว่า "อย่าเยอะ อย่าแยะ" ต้องไม่เน้นเนื้อหาเกินไป ยืดหยุ่น เน้นให้เกิดความสุข ความสนุกสนานในชั้นเรียน
- กลุ่มย่อยที่ ๒ ครูปฐมวัย
- ครูคเณศ เป็นตัวแทนกลุ่ม ท่านเน้นว่า สำคัญคือต้อง "เล่นปนเรียน" จับหลักสำคัญว่า เรามุ่งให้เด็กมีพัฒนาการ ๔ ด้าน คือ ร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเรียนในระดับประถม
- กลุ่ม "ฅนค้นคน"
- ก่อนเริ่มการแลกเปลี่ยน ผมเล่าให้ท่าน ผอ. ศน. ฟังว่า ระหว่างเดินไปส่งท่าน ท่านตั้งโจทย์ว่า จะทำอย่างให้ให้คุณครูไป "ก่อกระบวนการ" ขยายผลประสบการณ์ของตนเอง
- ท่าน ผอ.ไพฑูรย์ แวววงศ์ เสนอทันทีว่า ให้เข้าร่วมจัดทำเป็นหลักสูตรในโครงการคูปองครู
- ผอ.ปรีชา เสนอว่า ท่านจะสร้างเครือข่ายผู้อำนวยการเพื่อขับเคลื่อนขยายผลออกไปอีกทางหนึ่ง
- ศน.อัชรา บอกว่า เทศบาลเมืองมหาสารคาม ได้บูรณาการงานนี้ เข้าไปกับระบบและกลไกการประเมินและส่งเสริมความก้าวหน้าของครูแล้ว
- ศน.กันยารัตน์ บอกว่า อบจ. เริ่มให้มีการทำ PLC อย่างจริงจังแล้ว และกำลังนำร่องอย่างจริงจังแบบทั้งโรงเรียน (Whole School PLC)
- ศน.สุรัมภา จาก กศจ.มหาสารคาม ท่านบอกว่า ตอนนี้กำลังขยาย "SARAKHAM Model" ออกไปสู่กลุ่มเป้าหมายโรงเรียนเอกชน และท่านเองตอนนี้เป็นกรรมการผู้ทรงของสำนักปลัดกระทรวง หากมีโอกาสก็จะเสนอโครงการขยายผลนี้ด้วย
- ประเด็นสำคัญที่สุดที่ (ผม) เข้าใจว่า จะช่วยให้ครูเพื่อศิษย์ขยายผลและประสบการณ์ของตนออกไปได้เร็วที่สุดคือ การเขียนบันทึกลงใน Logbook และครูก็จะได้ประโยชน์จาก Logbook ที่ตนเองเขียนด้วย เพราะขณะนี้สำนักงาน ก.ค.ศ. กระทรวงศึกษา ได้กำหนดเป็นเกณฑ์สำหรับการเลื่อนวิทยฐานะครูแล้ว
จากการสืบค้น พบว่าเอกสารเผยแพร่และไฟล์ช่วยจัดทำเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับความก้าวหน้าในวิชาชีพของครู สามารถดูและดาวน์โหลดได้ที่นี่ ผมจับความได้ว่า หากครูจะขอวิทยาฐานะ จะต้องกรอกแบบฟอร์มเอกสารจัดทำแบบ "ว.xx" มี ๙ องค์ประกอบ องค์ประกอบที่ ๗ คือการมีส่วนร่วมในการทำ PLC ซึ่งมีองค์ประกอบ ดังนี้
- วันที่
- ชื่อกลุ่มกิจกรรม
- จำนวนสมาชิก
- ชื่อกิจกรรม
- ครั้งที่
- วันเดือนปีที่จัดกิจกรรม
- ภาคเรียน
- ปีการศึกษา/ปีงบประมาณ
- จำนวนชั่วโมง
- บทบาท
- จำนวนสมาชิกที่เข้าร่วมกิจกรรม
- ประเด็น
- สาเหตุ
- ความรู้/หลักการที่นำมาใช้
- กิจกรรมที่ทำ
- ผลที่ได้จากกิจกรรม
- การนำผลที่ได้ไปใช้
- อื่นๆ
- รหัสเอกสารสำหรับตรวจสอบ
- การรับรองจาก ผอ.
ผมศึกษามาถึงตรงนี้ .... ผมรู้สึกช็อค.... ช็อคกับเรื่องนี้... นี้มันเพิ่มงาน นี่มั่นงานของนักทำเอกสาร ครูเพื่อศิษย์ที่ผมรู้จัก ไม่มีเวลามาเรียนรู้การเขียนเอกสารแบบนี้ เพราะท่านจะไม่ให้ความสำคัญกับการรายงานเอกสารแบบนี้ และท่านก็ไม่สนใจการเลื่อนวิทยฐานะนั้นด้วย ... สุดท้ายครูเพื่อศิษย์ที่อยู่กับเด็กจริงๆ ก็จะถูกทอดทิ้งอีกต่อไป
.... ทำไม สพฐ. จึงยังไม่ตื่น ไม่เข้าใจว่า ควรจะทำอย่างไร ....
ผมขอแยกไปเขียนข้อเสนอในความเห็นของ "ฅนค้นครู" ไว้ในบันทึกหน้าจะดีกว่าครับ.....











