วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ศาสตราจารย์ นพ.วิจารณ์ กำลังจะออกหนังสือเล่มใหม่ "วิจัยชั้นเรียนเปลี่ยนครู"

ประมาณ ๒ สัปดาห์ก่อน ครูตุ๋ม (ศิริลักษณ์ ชมภูคำ) ครูเพื่อศิษย์อีสานรุ่นที่ ๑ เล่าให้ผมฟังว่า ทางมูลนิธิสยามกัมมาจล แจ้งว่าขณะนี้ ศาสตราจารย์ นพ.วิจารณ์ พานิช กำลังจะออกหนังสือเล่มใหม่ชื่อ "วิจัยชั้นเรียนเปลียนครู" และอยากจะลองให้ครูตุ๋มเขียนประสบการณ์ของตนเองเพื่อส่งให้ทางทีมงานและท่านลองพิจารณา ... ผมตีความขณะนั้นทันทีว่า ท่านคงเห็นว่าประสบการณ์และความสำเร็จของครูตุ๋มคือ ตัวอย่างของการ "วิจัยในชั้นเรียนเปลี่ยนครู"

หลายวันก่อนครูตุ๋มส่งต้นฉบับที่ท่านเขียนให้ผมช่วยอ่าน ... แม้ว่าผมจะพอเข้าใจกระบวนการและงานของครูตุ๋มดี(แน่นอนว่าไม่ทั้งหมด) แต่ไม่สามารถจะให้ความเห็นใดได้เลย เพราะที่ครูตุ๋มเขียนมานั้น ส่วนใหญ่เป็นภาษาใจและภาษานักปฏิบัติ (ภาษาพูดกึ่งเขียน) ซึ่งถ่ายทอดออกมาจากประสบการณ์ตรงของท่านอยู่แล้ว ... ถ้าใครอ่านเป็น เว้นวรรคตอนในใจได้ถูก นอกจากจะเข้าใจแล้ว ยังจะสามารถสัมผัสถึงปรัชญาและศรัทธาในใจผู้เขียนด้วย ... ผมจึงคิดว่าไม่น่าจะไปแก้ไขอะไรมาก ควรจะส่งไปให้ทีมบรรณาธิการอ่านและคักกรองเกลาเอาตามต้องการจะดีกว่า 

แต่ประเด็นสำคัญที่ผมสนใจคือ ทำไม ศ.นพ.วิจารณ์ ท่านจึง แนะนำให้ครูตุ๋มได้ลองเขียนประสบการณ์ฯ งานนี้ดู ... มีทางเดียวที่ผมจะได้คำตอบ คือ ผมต้องอ่านร่างต้นฉบับหนึ่งสือที่ทางมูลนิธิฯ ส่งมาให้ครูตุ๋ม ความจริงมีอยู่แล้วในบันทึก ๑๐ ตอน ชื่อ "วิจัยในชั้นเรียนเปลี่ยนครู" ที่ท่านเผยแพร่แล้ว (คลิกอ่านที่นี่ครับ) ซึ่งท่านตีความจากการอ่านหนังสือถอดบทเรียนตนเองของครูในประเทศไอร์แลนด์ ๔ คน ... ผมอ่านและตีความซ้อนอีกทีเพื่อให้ตนเองเข้าใจ และเผื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับครูเพื่อศิษย์ที่จะจับเอาเฉพาะประเด็นสำคัญ ๆ 

การอ่านแบบสแกนครั้งแรกของผม ไม่มีอะไรสะดุดใจให้อ่านละเอียด แม้ท่านจะบอกว่า หนังสือเล่มนี้อ่านแล้ววางไม่ลง (เพราะท่านอ่านแล้ววางไม่ลงนับไม่ถ้วนในจำนวนหนังสือนับไม่ถ้วนที่ท่านอ่านและตีความ) แต่เมื่อจำต้องอ่านละเอียด ผมกลับได้เรียนรู้สิ่งที่มีคุณค่ามากในชีวิตการทำงานเป็นอาจารย์สอนของตนเองด้วย ...

ประเภทของการวิจัย
  •  ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ แบ่งการวิจัยออกเป็น ๓ ประเภท ได้แก่ 
    • วิจัยเชิงทดลอง (empirical research) คือ การวิจัยโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ทั่วไป ได้แก่ กำหนดปัญหา ตั้งสมมติฐานทดลอง/ทดสอบสมมติฐาน และสรุปผล ซึ่งวิธีการหลักที่ทำให้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเจริญเท่าทุกวันนี้ การวิจัยแบบนี้เป็นการค้นหาความจริงบนฐานคิดว่า ต้องสามารถพิสูจน์ได้ พิสูจน์ซ้ำได้ และสามารถนำไปใช้กับคนอื่นได้  ลักษณะและข้อจำกัดของการวิจัยแบบนี้ต่อการนำมาพัฒนาผู้เรียน ได้แก่
      • ผู้วิจัยต้องเป็น "คนนอก" เป็นผู้สังเกตอย่างไม่มีอคติ 
      • การเขียนรายงานของวิจัยแบบนี้ จึงต้องใช้คำสรรพนามบุรุษที่ ๓ ห้ามใช้บุรุษที่ ๑ โดยเด็ดขาด
      • การวิจัยเชิงทดลองนี้จึงเหมาะสมกับการวิจัย "เพื่อรู้" ไม่ใช่เพื่อนำไป "ปฏิบัติ"
      • การวิจัยเชิงทดลองนี้จึงไม่มีส่วนหรือ "ไม่ช่วย" ให้เกิดองค์ความรู้ของวิชาชีพครู
      • ทั้งครูและนักเรียนไม่ใช่สิ่งของที่มีลักษณะแน่นอนตายตัวหรือคงที่ การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้จึงไม่เหมาะกับการวิจัยแบบนี้
    • การวิจัยแนวตีความ (Interpretive Research) คือ การวิจัยโดยการทำตัวเป็นนักทฤษฎี ศึกษาปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมแล้วเข้าไปตีความ อธิบาย และให้คุณค่าต่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น  มีลักษณะและข้อจำกัดต่อการพัฒนาการเรียนรู้ของคน ดังนี้ 
      • ผู้วิจัยสามารถเป็นทั้ง "คนนอก" เป็นผู้สังเกตผู้วิจัย ผู้ตีความ และเป็น "คนใน" คือเป็นครูเป็นผู้ปฏิบัติ แต่จะไม่สามารถจะเป็นได้ในเวลาเดียวกันได้ ทำให้ต้องมีทีมหรือกระบวนการประเมินแบบร่วมมือ (เช่น PLC)
      • ข้อมูลจากห้องเรียน เช่น พฤติกรรมของนักเรียน พฤติกรรมต่อเพื่อนและต่อครู สามารถนำมาตีความหาความหมายได้อย่างดี และส่งผลให้เกิดการพัฒนาการคิดอย่างมืออาชีพของครู แต่มีผลในเชิงความคิดหรือทฤษฎีเท่านั้น ไม่มีผลทางการปฏิบัติ 
      • การวิจัยแบบตีความจะช่วยให้ครูเชื่อมโยงทฤษฎีกับความรู้เชิงปฏิบัติเข้าหาตนได้ และที่สำคัญที่สุดคือ จะทำให้ครูสามารถสร้างความรู้ขึ้นใช้เองได้ 
      • แต่คุณค่าของการวิจัยแนวตีความไม่ได้มุ่งไปสู่การปรับปรุงการปฏิบัติโดยตรง นักเรียนไม่ได้เป็นผู้ร่วมวิจัย จึงยังไม่ใช่การวิจัยที่เอานักเรียนเป็นศูนย์กลาง
    • การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) คือ งานวิจัยที่ผู้วิจัยคือผู้ปฏิบัติ มีนิยามความหมายหลากหลายกว้างขวาง (เขาแนะนำที่นี่) ผู้เขียนหนังสือนี้ให้นิยามว่า "การปฏิบัติเพื่อค้นหาสิ่งที่ไม่รู้ ซึ่งนำไปสู่การปรับปรุงงาน" ซึ่งมีลักษณะและข้อดี ดังนี้ ...
      • ผู้วิจัยคือ "คนใน" คือคนปฏิบัติ มุ่งเป้าเพื่อพัฒนาการปฏิบัติการสอนในบริบทของตนเอง เป็นการสร้างทฤษฎีที่่ใช้ได้จำเพาะบริบทเท่านั้น 
      • ให้ความสำคัญที่สุดกับข้อมูลเชิงคุณภาพ ข้อมูลปฐมภูมิที่ครูเก็บได้ และเก็บไว้อย่างเป็นระบบ เอื้อต่อการนำออกเผยแพร่ต่อนักเรียนหรือเพื่อนครูได้ง่าย ข้อมูลเหล่านี้มีความซับซ้อนมากและมีจำนวนมาก เช่น
        • แฟ้มสะสมงานของนักเรียนแต่ละคน
        • บันทึกการเรียนเข้าร่วมกิจกรรมและการมาเรียนของนักเรียน
        • เอกสารเช็คลิสท์แสดงผลสัมฤทธิ์รายวัตถุประสงค์
        • บันทึกการสอน
        • ภาพ ภาพถ่าย
        • วีดีทัศน์ 
        • ใบแสดงผลการศึกษา 
        • แบบสอบถาม 
        • บันทึกการพูดคุย
        • บันทึกเหตุการณ์เฉพาะเรื่อง
        • reflective journal (ผมตีความว่า อันนี้คือนวัตกรรมของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้) 
        • บันทึกการสอบทานกับเพื่อนครูและกัลยาณมิตร
        • ผลการประเมินตนเองและการประเมินโดยเพื่อนครู
        • กระดาษข้อสอบ 
        • ฯลฯ
      • การทำวิจัยเชิงปฏิบัติการ ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้หรือทฤษฎีอย่างเป็นระบบ แต่ใช้ความรู้เชิงปัญญาญาณ (intuitive knowledge) คือรู้เองเห็นเอง ซึ่งจะนำไปสู่ "ปัญญาปฏิบัติ" (Phronesis) ซึ่งเป็นความรู้จากการปฏิบัติ และจะทำให้เกิดทฤษฎีใหม่ของตนเองได้ ...  ตัวอย่างที่ชัดมากๆ ก็คือกรณีครูตุ๋มนี่เองครับ 
ทำไมหนังสือเล่มนี้จึงจะมีพลังเปลี่ยนครู

คำว่าวิจัยเชิงปฏิบัติการ คนไทย(ครูไทย) รู้จักกันมานานมากแล้วในชื่อ "การวิจัยในชั้นเรียน"  และดูเหมือนจะ "ไม่สำเร็จ" ในการขับเคลื่อนสู่ครูไทยด้วย เพราะการจัดการเรียนรู้ระดับ ป.โท ที่ผมพอทราบนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำวิจัยแบบนี้ เน้นไปทำวิจัยแบบ R&D ที่จบง่ายกว่า (ทำง่ายกว่า ตีพิมพ์ง่ายกว่า)  ก่อนอ่านร่างต้นฉบับหนังสือนี้ ผมสงสัยว่า ความพิเศษอะไรในกระบวนการวิจัยของครูผู้เขียนชาวไอร์แลนด์ ๔ คนนั้น ที่ทำให้ท่าน (ศ.นพ.วิจารณ์) ถึงกับตั้งความหวังว่า หนังสือรวมเล่มนี้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับครูละกระบวนการพัฒนาครูได้ ... ผมตีความตอบตนเองดังนี้ว่า 
  • การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ ยกตัวครูผู้วิจัยเป็นผู้ถูกวิจัยด้วย (อันนี้พิเศษกว่าการวิจัยในชั้นเรียนที่เข้าใจกันทั่วไป) ท่า่นใช้คำว่า ่"การวิจัยปฏิบัติการศึกษาตนเอง" (self-study action research)... ขอเรียกสั้นๆ ว่า "การวิจัยสงสัยตนเอง" หรือ "การวิจัยใคร่ครวญตนเอง"
  • โดยยึดหลักว่า ความรู้เกิดขึ้นที่ผู้เรียนหรือที่ตนเองเท่านั้น นักเรียนเป็นผู้สร้างความรู้ (constuctivism) นักเรียนร่วมกันสร้างสความหมายของสิ่งต่างๆ ของกิจกรรมต่างๆ 
  • การวิจัยแบบใคร่ครวญตนเองนี้ มีหลักการและวิธีการเด่นๆ ดังนี้ 
    • ใคร่ครวญให้ลุ่มลึกถึงระดับคุณค่าของการศึกษา (epistemological values) และคุณค่าด้านการมองความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคมหรือตนเองกับผู้อื่น (ontological values)
      • epistemological value คือ มุมมองต่อความรู้ การสร้างความรู้ และการรับความรู้ 
      • ontological value คือ มุมมองด้านธรรมชาติของสรรพสิ่ง ด้านการรู้จักตนเองว่าเป็นเพียงส่วนย่อยในภาพรวม และความเข้าใจด้านความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับผู้อื่น
    • ใคร่ครวญด้วยการตั้งคำถามของตนเอง ตั้งคำถามกับตนเองเพื่อตนเองได้ใครครวญสะท้อนคิดอย่างลึกซึ้งจริงจัง (critical reflection) เช่น ทำไมเราจึงทำอย่างที่ปฏิบัติอยู่ และจะเรียนรู้เพื่อทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างไร  ฯลฯ ... นี่คือเครื่องมือหลักและวิธีการหลักของครู ๔ คนผู้ประสบผลสำเร็จนี้ 
    • การใคร่ครวญสะท้อนคิดไปเรื่อยๆ ทำให้ครูค้นพบปัจจัยสู่ความเป็นครูมือาชีพ ๕ ประการ คือ 
      • การใคร่ครวญสะท้อนคิด
      • ความมีใจเปิดรับ (open-mindedness)
      • การเทใจ (whole-heartedness) ...  คงหมายถึงการทุ่มเททั้งหัวใจ
      • ความรับผิดชอบทางปัญญา (intellecutal responsibility)... น่าจะตรงกับจิตวิญญาณความเป็นครูของเรา
      • ความสนใจใคร่ครูทางปัญญา (intellectual integrity) ... น่าจะหมายถึงความใฝ่รู้ใฝ่เรียน 
  • สิ่งที่ครูเปลี่ยนไปหลังจากทำวิจัยแบบใคร่ครวญตนเองนี้ ได้แก่
    • เปลี่ยนจากพูดคนเดียว (monolouge) ไปเป็นพูดกันทั้งห้อง (dialogue) คือเปลี่ยนไปเป็นการเสวนา สนทนากันในห้องเรียน ...มีงานวิจัยชี้ว่า ๒ ใน ๓ ของเวลาในชั้นเรียน ครูเป็นผู้พูด และ ๒ ใน ๓ ของคำถามที่ครูถามเป็นคำถามปลายปิด
      • นักเรียนร่วมสร้างความรู้ (co-construct)
      • นักเรียนที่เป็นคนช่างพูด ทำหน้าที่ scaffolding (สรุปความ) ซึ่งจะช่วยให้คนไม่ช่างพูดเรียนรู้วิธีการเรียงถ้อยคำพูดออกมาได้
      • ทำให้การประเมินสะท้อนสภาพจริงมากขึ้น แทนที่จะใช้การเขียนอย่างเดียว 
      • เกิดความหมายและความแตกต่างที่หลากหลายมาก
      • ครูได้ฝึกตั้งคำถาม ... ซึ่งช่วยให้เกิดทักษะการคิดอย่างลึกซึ้ง (critical thinking)
      • ครูเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับ "ความรู้" และ "การรู้" ของนักเรียนในมุมมองใหม่ๆ 
      • ครูได้เปิดมุมมองของการเรียนรู้ในโรงเรียนที่ซับซ้อนขึ้น
    • เปลี่ยนจากสอนโดยการถ่ายทอด "ครูบอก ครูสอน" ไปเป็น "ครูฝึก" "ครูอำนวยการเรียนรู้"
      • เปลี่ยนจากห้องสอน (didactic classroom) ไปเป็นห้องแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (dialogic classroom) 
    • เปลี่ยนจากการ "ควบคุม" ห้องเรียน ไปสู่การ "อิสรภาพ" "ความเป็นธรรม"  "ความเอื้ออาทร" และ "ความคิดสร้างสรรค์" โดยใช้กิจกรรมหรือโอกาส เอื้อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้
ข้อสังเกตก่อนจะตีความหรือวิพากษ์
  • ครูผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ มาเป็นครูตอนอายุ ๑๙ ในปี ๑๙๗๐ สอนตามแนวทาง "ถ่ายทอดความรู้" อยู่ในระบบถึง ๒๐ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นครูแนวส่งเสริมให้นักเรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง 
  • ครูผู้เขียนบอกว่า สิ่งที่ทำให้ตนเองเปลี่ยนแปลงคือ การกลายมาเป็นนักคิดอย่างจริงจัง (critical thinker)  สิ่งที่ทำให้ท่านพัฒนาทักษะการคิดนี้คือ การตั้งคำถามให้ตนเองใคร่ครวญ เช่น 
    • ในความเห็นของฉัน จุดเด่นที่สุดด้านการทำหน้าที่ครูของฉันคืออะไร
    • อะไรคือสาเหตที่ทำให้ฉันไม่พอใจกับการสอนของตนเอง หรือเป็นสาเหตุให้ฉันต้องปรับปรุงการสอนของตน
    • ฉันคิดเรื่องการสอนในฐานะวิชาชีพตลอดชีวิตของตนอย่างไร ฉันเชื่อว่าฉันกำลังเป็นครูที่ดีอยู่หรือไม่
    • ใครเป็นผู้พูดส่วนใหญ่ มีการพูดจากนักเรียนแค่ไหน ความแตกต่างระหว่างสนุทรียสนทนา (dialogue) กับการถามแบบมีคำอธิบายแตกต่างกันอย่างไร
    • นักเรียนมีบทบาทในการตัดสินใจในห้องเรียนหรือโรงเรียนแค่ไหน เสียงของนักเรียนได้รับการฟังบ่อยไหม ข้อเสนอของนักเรียนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแค่ไหน 
    • ฉันมีวิธีตั้งคำถามในชั้นเรียนแบบไหน ฉันให้ feedback กับนักเรียนอย่างไร เป็นไปได้ไหมว่าฉันจะให้เวลานักเรียนคิด 
    • นักเรียนตอบคำถามตามที่ครูอยากจะได้ยิน หรือตอบคำถามตามที่ตนคิด
    • ทำไมฉันจึงค้างคาใจในสิ่งนี้
    • ทำไมฉันจึงทำสิ่งนี้ทุกวัน
    • ฉันได้เรียนรู้จากกิจกรรมเหล่านั้นอย่างไร
    • คุณค่าของสิ่งนี้คืออะไร 
    • คุณค่าของสิ่งนี้สำหรับนักเรียนคืออะไร สำหรับฉันคืออะไร สำหรับโรงเรียนคืออะไร 
    • คุณค่าของความเอื้ออาทรสะท้อนมากับนโยบายและแนวปฏิบัติของโรงเรียนอย่างไร 
    • ฉันจัดให้นักเรียนแบบไหนเป็น "นักเรียนเรียนดี" 
    • ฉันมองความรู้เป็นผลผลิต (product) หรือเป็นกระบวนการ (process)
    • ฯลฯ 
  • ครูผู้เขียนบอกว่า สิ่งที่สร้างให้ตนเองมีแรงบันดาลใจที่จะเปลี่ยแปลงมาจากการอ่าน อ่านหนังสือด้านการศึกษาดีๆ จำนวนมาก ... (ผมตีความว่า ถูกบังคับให้อ่านเพราะต้องเรียนให้จบปริญญาโท)
  • มีงานวิจัยชี้ว่า 
    • ครูระดับประถมศึกษาในอังกฤษอ่านหนังสือวิชาการครูน้อยมาก 
    • ครูที่ออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา ไม่อ่านหนังสือวิชาการด้านการศึกษา
  • หลังจากผ่านไป ๒๐ ปี ครูผู้เขียนเริ่มรู้สึกถึงค่านิยมต่อการศึกษาที่แตกต่างจากเดิม และค่อยๆ เกิดความขัดแย้งรุนแรง กลายเป็นความอึดอัด จึงหาทางออกโดยให้นักเรียนใช้อินเตอร์เน็ตและมัลติมิเดียสื่อสารกับนักเรียนอื่นและตนเองก็เริ่มสื่อสารกับเพื่อนครูท่านอื่นด้วยเว็บเพจและอีเมล์ โดยที่ตอนนั้นก็ยังไม่แก่กล้าพอที่จะตั้งคำถามว่า ทำไมฉันถึงสอนแบบนี้ 
  • สังเกตว่า ครูผู้เขียนสังเกต (ระลึกรู้) ถึงความ "อึดอัด" ของตนเองเป็นจุดเริ่มของการเปลี่ยน โดยใช้วิธีการคลีคลายความอึดอัดนั้นด้วยการค้นหาคำตอบให้ตนเอง โดนเริ่มจากการตั้งคำถาม 
  • เครื่องมือสำคัญที่ทำให้ครูผู้เขียนยกระดับความรู้ความเข้าใจของตนเองมากๆ ก็คือ การเขียน refletive journal คือ การเขียนไดอารี่บันทึกการคิดของตนเองแล้วนำกลับมาอ่านใคร่ครวญบ่อยๆ 
  • ในช่วงแรกของการเปลี่ยนแปลงการสอน ครูผู้เขียนเกิดความกังวลมาก กังวลต่อความศึกษานิเทศก์ถ้าสอนไม่ครบตามหลักสูตร นักเรียนบางคนก็ไม่ให้ความร่วมมือ นักเรียนส่วนใหญ่ก็เงียบ จนเกิดความท้อ แต่ไม่ถอยเนื่องจากเป็นงานเพื่อวิทยานิพนธ์ปริญญาโท
ตีความและวิพากษ์
  • ผมตีความว่า ที่ ศ.นพ.วิจารณ์ ท่านประทับใจชี้ให้ขยายผลหนังสือนี้ ด้วยเหตุว่า 
    • นี่คือตัวอย่างของครูในศตวรรษที่ ๒๑ 
    • นี่คือตัวอย่างความสำเร็จของครูที่ใช้ใคร่ครวญสะท้อนคิด หรือ Reflection ยกระดับทักษะและความรู้ด้านวิชาชีพครู จนสามารถเปลี่ยนแปลงการสอนของตนเองได้... ซึ่งเรื่องนี้ท่านขับเคลื่อนมาตั้งแต่แรกเริ่มก่อนใคร
    • นี่คือความสำเร็จของการนำ จิตตปัญญาศึกษา (การเรียนรู้ดวยใจอย่างใคร่ครวญ (contemplative learning)) หรือ การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง (transfomative learning) มาใช้จริงในห้องเรียน และสร้างผลสำเร็จเป็นรูปธรรม  
    • นี่คือความสำเร็จของครูทีเกิดจากการจัดการความรู้ตนเอง ผ่านการเขียน reflective journal  หรือก็คือเขียนบันทึกและอนุทินการเรียนการสอนของตนเอง แล้วนำกลับมาใคร่ครวญบ่อยๆ นั่นเอง ... ผมตีความว่า ท่านเล็งเห็นจุดนี้มานานแล้ว และนี่เป็นที่มาของเว็บไวต์ gotoknow นี้ด้วย 
    • นี่คือความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงของครูผู้เริ่มที่ตนเอง (ภายใต้ระบบเดิม)..ศ.นพ.วิจารณ์ ย้ำในการตีความของท่านว่า การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนเริ่มที่ตนเองเท่านั้น
  • ผมตีความว่า กรณีความสำเร็จนี้แตกต่างจากความสำเร็จของครูตุ๋ม ศิริลักษณ์ ชมภูคำ ดังนี้ครับ
    • หากแบ่งจริตของการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองออกเป็น ๓ ฐาน คือฐานกาย ฐานใจ และฐานคิด (ตามทฤษฎีด้านจิตตปัญญาศึกษา) จะพบว่า ครูผู้เขียนนี้พัฒนามาทางด้านฐานคิด ใช้การคิดเป็นทั้งเหตุและผล พัฒนาทั้งตนเองและนักเรียน เป็นทั้งเครื่องมือและกระบวนการ ต่างจากครูตุ๋มที่ใช้ฐานใจ ความรัก ความเมตตา จนก่อให้เกิดความความศรัทธาของเด็กๆ ต่อครู 
      • ครูผู้เขียนใช้การสะท้อนคิดใคร่ครวญและการเขียนเป็นหลัก แต่ครูตุ๋มมีความเพียรความรักและจิตวิญญาณความเป็นครูเป็นหัวใจ
      • ครูผู้เขียนใช้การตั้งคำถามให้ตนเองได้ใคร่ครวญ แต่ครูตุ๋มไม่ได้เน้นการคิดใคร่ครวญ แต่เน้นการรับรู้จากสัมผัส เมตตา และปรารถนาอย่างแรงกล้าให้เด็กๆ อ่านออกเขียนได้ ... หลังจากที่ในปี ๒๕๕๓ พบว่า นักเรียน ป.๖ จำนวน ๒๓ คน อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ถึง ๑๑ คน 
      • ครูผู้เขียนใช้เงื่อนไขโดยสร้างเงื่อนไขในการพัฒนาเด็กรายบุคคล แต่ครูตุ๋มใช้การเป็นแบบอย่าง ใช้การเป็นต้นแบบให้ได้ใจเด็ก เมื่อเด็กศรัทธา จึงตั้งใจ ถึงตอนนั้นความถนัดในการใช้เรื่องเล่า เล่าเรื่อง อธิบาย อุปมา อุปมัย ด้วยสิ่งใกล้ตัวจึงใช้ได้ผลดีมาก 
    • ผมตีความว่า เราคงไม่สามารถหาตัวอย่าง BP แบบครูตุ๋มหรือแบบที่เรามีในประเทศเรามี ได้ง่ายนักในวัฒนธรรมของชาวตะวันตก ในทำนองเดียวกัน เราคงจะหา BP แบบครูผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้ง่ายนักในประเทศไทย โดยเฉพาะระดับประถมศึกษา  ยกเว้นโรงเรียนในเมืองของครูและผู้ปกครอง "ผู้พร้อม" (ไม่ใช่นักเรียนส่วนใหญ่) ... ผมคิดว่า เราเน้นไปที่ "ความดี" เน้นสร้างเด็กดี มีวินัย ภูมิใจในความเอื้อเฟื้อ แบ่งปันแบบนี้ดีกว่า 
      • "อ่านออก" "เขียนได้"  เหมือนกัน แต่
      • "คิดเป็น" อาจจะไม่เหมือนกัน 
  • ปัจจัยแห่งความสำเร็จที่คลายกันระหว่างครูผู้เขียนกับครูตุ๋ม
    • วิธีที่ครูตุ๋มพัฒนาตนเองมา จนประสบความสำเร็จในการพัฒนานักเรียนจิตอาสาและแก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ คือการวิจัยเชิงปฏิบัติการ หรือ Action Reseach แน่อน  แต่ไม่อาจจัดเป็น "วิจัยใคร่ครวญตนเอง" (self-study action research) เหมือนกับที่ท่านกล่าวถึง  เป็นการวิจัยที่มีลักษณะดังนี้ 
      • เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยเป็น "คนใน" เหมือนกัน ครูคือผู้เห็นปัญหา หาทางแก้ปัญหา  จนสามารถกสร้างปัญญาปฏิบัติ (Phronesis) ขึ้น คือ การแก้ปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ด้วยกระบวนการ ๖ ขั้นตอนร่วมกับนักเรียนจิตอาสา ซึ่งหากดูในรายละเอียด จะพบว่าการใช้วิธีการ ๖ ขั้นนั้น แตกต่างไปในรายละเอียดของเด็กแต่ละคนๆ 
      • เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการที่เน้นเอาปัญหาของนักเรียนรายบุคคลเป็นศูนย์กลางโดยใช้ความใส่ใจ รัก เมตตา ปรารถนาดีเป็นหลัก  
      • กระบวนการวิจัยอาจแบ่งเป็น ๒ ขั้นสำหรับนักเรียนบกพร่องด้านการเรียนรู้ (นักเรียน LD) คือ ขั้นรักษาใจและการพัฒนาทักษะ 
        • ขั้นรักษาใจ คือ การปรับพฤติกรรมให้มีเจตคติที่ดีต่อการมาเรียน กับการอ่านออกเขียนได้  นักเรียนหลายคนที่เริ่มต้นไม่ยอมมาเรียน บ้างมาเรียนก็ไม่เข้าห้องเรียน บ้างเข้าห้องเรียนก็ไม่เรียน บางคนต้องใช้เวลาเป็นแรมปีในการรักษาใจให้พร้อมเรียนรู้ได้ 
        • ขั้นพัฒนา คือ การพัฒนาทักษะการอ่านออกเขียนได้ ขั้นนี้เองที่ครูตุ๋มใช้ทักษะการวิจัย จนได้ทฤษฎีบันได ๖ ขั้น ดังที่ได้เผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง
      • น่าจะเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบวิถีไทย หรือเรียกสั้นๆ ว่า "วิจัยวิถีไทย" คือ เอาความศรัทธานำ เคารพ นอบน้อม คือใช้การอบรมบ่มนิสัย ให้ก่อน ครูเป็นผู้ให้และทำเป็นแบบอย่าง  แล้วลองผิดลองถูกในส่วนรายละเอียดของการปฏิบัติแต่ละคนแต่ละสถานการณ์  (ควรจะเรียกว่าไร้รูปแบบ )
    • "การวิจัยวิถีไทย" ครูจะไม่ค่อยได้มาเขียนบันทึกหรือถอดบทเรียนตนเองมากนัก และความสำเร็จในการวิจัยนก็จะฝังอยู่ตัวอยู่ในลักษณ์ ความรู้ฝังลึก (tacit knowledge) ตรงนี้เองที่นักการศึกษาจะต้องมา "ถอดบทเรียน" ... แม้ว่าการถอดบทเรียนจะไม่ใช่ปัจจัยที่มำให้ครูเปลี่ยนโดยตรง แต่ผมมั่นใจว่าเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้ครูตุ๋มมีพลังมากขึ้น ... ต่อไปจะขอเรียกสั้น ๆ ว่า  "ถอดบทเรียนเปลี่ยนครู" 
    • ผมคิดว่าครูไทยน้อกว่าร้อยละ ๑ ที่อ่านผลงานวิชาการด้านการศึกษา การ "ถอดบทเรียน" หรือ "เขียนหนังสือ" ให้ครูอ่านนั้น ได้ผลน้อยมาก  
    • แต่คนไทย ครูไทย ชอบสนทนา ชอบคุยตามประสาพี่น้อง รักใคร่เอื้อเฟื้อกัน ดังนั้นคือ ต้องสร้างคุณอำนวยการเรียนรู้ (Facilitator) ไปถอดบทเรียน แล้วเอาบทเรียนที่ได้ไปเล่าต่อ บอกต่อ สร้างกันเป็น PLC ต่อไป ...  ข้อนี้ผมจะบอกว่า ครูส่วนใหญ่ไม่สามารถจะเริ่มต้นด้วยตนเองได้... ผมอาจคิดผิด ต้องอภัยเพื่อนครูท่านอ่านมาถึงตรงนี้ 
    • จิตวิญญาณความเป็นครู ทำให้ครูตุ๋มมีความสุขเมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของนักเรียน ความสุขของครูเพื่อศิษย์แบบนี้นี่เองที่เป็นปัจจัยให้เกิดจิตใจจะเอาชนะปัญหาและสร้างปัญญาให้กับเด็ก 
  • สรุปคือต้องบ่มเพาะจิตวิญญาณความเป็นครูและขยายผลการวิจัยวิถีไทยแบบเราไปมากๆ 
ขอบคุณภาพจากเฟสครูตุ๋มครับ

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2561

เวที PLC พูนพลังครูเพื่อศิษย์อีสาน ปี ๒๕๖๑ (๒) : Logbook ที่ดีจะทำให้เกิด PLC (ผมช็อคกับรูปแบบการทำ Logbook ที่ให้ครูทำ)

วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา ทีมขับเคลื่อนอิสระ "ฅนคนครู" จัดเวที "พูนพลังครูเพื่อศิษย์อีสาน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑"  มีครูเพื่อศิษย์อีสาน ๑๕ ท่าน ศึกษานิเทศก์ ๓ ท่าน และผู้อำนวยการโรงเรียน ๒ ท่าน มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ถือเป็น PLC หรือ ชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ อีกวงที่ส่งผลต่อความสุขของผู้เข้าร่วมทุกคน

หลังจากที่ได้รับแรงบันดาลใจและคำแนะนำแนวทางการขับเคลื่อนต่อไปจาก ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช (อ่านบันทึกที่ ๑ ที่นี่)  เรากลับมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน โดยแบ่งเป็น ๓ กลุ่มย่อย คือ กลุ่มปฐมวัย กลุ่มประถมและมัธยม และกลุ่ม "ฅนค้นครู" คือ ผอ. ศน. ได้ผลสรุปที่น่าสนใจ หลายประเด็น  แต่ปีนี้เราไม่ได้คาดหวังการ  Show&Share แบบเต็มรูปแบบ จึงจัดเพียงครึ่งวัน ดังนั้นจึงไม่มีเวลาพอที่จะถอดบทเรียนและแลกเปลี่ยนกัน ... ขอสรุปสั้นๆ ไว้ให้เป็นเหตุการระลึกถึง ดังนี้



  • กลุ่มที่ ๑ ครูประถมและมัธยม
    • ครูเพ็ญศรี ใจกล้า แลกเปลี่ยนเรื่อง โมเดล 3PBL คือ เรียนรู้ในรูปแบบ (Pattern-based) เรียนรู้ด้วยการทำโครงการ (Project-based) และ เรียนรู้โดยใช้การแก้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based) 
    • ครูอัจฉราวรรณ ภิบาล แลกเปลี่ยนเรื่องการสอนทักษะภาษาอังกฤษ ฟัง พูด อ่าน เขียน โดยให้ทำหนังสั้น โดยเน้นการทำงานเป็นทีม ทั้งระหว่างครูกับนักเรียน และระหว่างนักเรียน
    • ครูเพ็ญศรี กานุมาร แลกเปลี่ยนเรื่องการเรียนรู้จากป่าในโรงเรียน เน้นการเรียนรู้พันธุ์โดยบูรณาการระหว่างโรงเรียนและชุมชนผ่านปราชญชาวบ้าน ผ่านรายวิชาวิทยาศาสตร์ 
    • ครูจีระนันท์ จันทยุทธ แลกเปลี่ยนเรียนรู้นอกห้องเรียน วิถีชีวิตในท้องถิ่น โดยให้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ที่เน้นการลงมือปฏิบัติ พัฒนานักทักษะการนำตนเองของนักเรียน 

    • ครูวรารัตน์ แลกเปลี่ยนการจัดการเรียนรู้มุ่งให้เกิดทักษะชีวิตสู่อาชีพในท้องถิ่น โดยบูรณาการทุกรายวิชา ด้วยการสอนแบบ PBL ในช่วงเวลาลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ และเน้นกระบวนการคิดสร้างสรรค์ 
    • ครูกรรณิการ์ แลกเปลี่ยนเทคนิคการแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ด้วยความรักความเมตตา ดูแลเด็กรายบุคคล เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญจริงๆ และนำเอากระบวนการ ๖ ขั้นของครูตุ๋มไปใช้ 
    • ครูสุรียนต์ ฉิมพลี แลกเปลี่ยนการจัดการเรียนรู้แบบไร้รูปแบบ หลากหลายรูปแบบ บูรณาการทุกรายวิชา เน้นสร้างห้องเรียนแห่งความสุข  


    • ครูปราณี จงจอหอ แลกเปลี่ยนการสอนภาษาไทยด้วยเพลง เกมส์ และนิทาน (น่าจะเคยถอดบทเรียนท่านไว้แล้วครั้งหนึ่ง สู้ต่อนะครับอาจารย์)
    • ครูพัชรา แลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการสอนภาษาไทยว่า "อย่าเยอะ อย่าแยะ"  ต้องไม่เน้นเนื้อหาเกินไป ยืดหยุ่น เน้นให้เกิดความสุข ความสนุกสนานในชั้นเรียน 



  • กลุ่มย่อยที่ ๒ ครูปฐมวัย 




    •  ครูคเณศ เป็นตัวแทนกลุ่ม ท่านเน้นว่า สำคัญคือต้อง "เล่นปนเรียน"  จับหลักสำคัญว่า เรามุ่งให้เด็กมีพัฒนาการ ๔ ด้าน คือ ร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเรียนในระดับประถม 

 


  • กลุ่ม "ฅนค้นคน"
    • ก่อนเริ่มการแลกเปลี่ยน ผมเล่าให้ท่าน ผอ. ศน. ฟังว่า ระหว่างเดินไปส่งท่าน ท่านตั้งโจทย์ว่า จะทำอย่างให้ให้คุณครูไป "ก่อกระบวนการ" ขยายผลประสบการณ์ของตนเอง 

    • ท่าน ผอ.ไพฑูรย์ แวววงศ์ เสนอทันทีว่า ให้เข้าร่วมจัดทำเป็นหลักสูตรในโครงการคูปองครู 
    • ผอ.ปรีชา เสนอว่า ท่านจะสร้างเครือข่ายผู้อำนวยการเพื่อขับเคลื่อนขยายผลออกไปอีกทางหนึ่ง
    • ศน.อัชรา บอกว่า เทศบาลเมืองมหาสารคาม ได้บูรณาการงานนี้ เข้าไปกับระบบและกลไกการประเมินและส่งเสริมความก้าวหน้าของครูแล้ว 
    • ศน.กันยารัตน์ บอกว่า อบจ. เริ่มให้มีการทำ PLC อย่างจริงจังแล้ว และกำลังนำร่องอย่างจริงจังแบบทั้งโรงเรียน (Whole School PLC) 
    • ศน.สุรัมภา จาก กศจ.มหาสารคาม ท่านบอกว่า ตอนนี้กำลังขยาย "SARAKHAM Model" ออกไปสู่กลุ่มเป้าหมายโรงเรียนเอกชน และท่านเองตอนนี้เป็นกรรมการผู้ทรงของสำนักปลัดกระทรวง หากมีโอกาสก็จะเสนอโครงการขยายผลนี้ด้วย 
    • ประเด็นสำคัญที่สุดที่ (ผม) เข้าใจว่า จะช่วยให้ครูเพื่อศิษย์ขยายผลและประสบการณ์ของตนออกไปได้เร็วที่สุดคือ การเขียนบันทึกลงใน Logbook  และครูก็จะได้ประโยชน์จาก Logbook ที่ตนเองเขียนด้วย เพราะขณะนี้สำนักงาน ก.ค.ศ. กระทรวงศึกษา ได้กำหนดเป็นเกณฑ์สำหรับการเลื่อนวิทยฐานะครูแล้ว 
 Logbook

จากการสืบค้น พบว่าเอกสารเผยแพร่และไฟล์ช่วยจัดทำเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับความก้าวหน้าในวิชาชีพของครู สามารถดูและดาวน์โหลดได้ที่นี่   ผมจับความได้ว่า หากครูจะขอวิทยาฐานะ จะต้องกรอกแบบฟอร์มเอกสารจัดทำแบบ "ว.xx"  มี ๙ องค์ประกอบ  องค์ประกอบที่ ๗ คือการมีส่วนร่วมในการทำ PLC ซึ่งมีองค์ประกอบ ดังนี้

  • วันที่ 
  • ชื่อกลุ่มกิจกรรม
  • จำนวนสมาชิก
  • ชื่อกิจกรรม
  • ครั้งที่ 
  • วันเดือนปีที่จัดกิจกรรม
  • ภาคเรียน
  • ปีการศึกษา/ปีงบประมาณ
  • จำนวนชั่วโมง
  • บทบาท
  • จำนวนสมาชิกที่เข้าร่วมกิจกรรม
  • ประเด็น
  • สาเหตุ
  • ความรู้/หลักการที่นำมาใช้
  • กิจกรรมที่ทำ
  • ผลที่ได้จากกิจกรรม
  • การนำผลที่ได้ไปใช้
  • อื่นๆ
  • รหัสเอกสารสำหรับตรวจสอบ
  • การรับรองจาก ผอ. 

ผมศึกษามาถึงตรงนี้ .... ผมรู้สึกช็อค.... ช็อคกับเรื่องนี้... นี้มันเพิ่มงาน นี่มั่นงานของนักทำเอกสาร ครูเพื่อศิษย์ที่ผมรู้จัก ไม่มีเวลามาเรียนรู้การเขียนเอกสารแบบนี้ เพราะท่านจะไม่ให้ความสำคัญกับการรายงานเอกสารแบบนี้  และท่านก็ไม่สนใจการเลื่อนวิทยฐานะนั้นด้วย ... สุดท้ายครูเพื่อศิษย์ที่อยู่กับเด็กจริงๆ ก็จะถูกทอดทิ้งอีกต่อไป

.... ทำไม สพฐ. จึงยังไม่ตื่น ไม่เข้าใจว่า ควรจะทำอย่างไร ....

ผมขอแยกไปเขียนข้อเสนอในความเห็นของ "ฅนค้นครู" ไว้ในบันทึกหน้าจะดีกว่าครับ.....